คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินของโจทก์ซึ่งมีเรือนปลูกอยู่ แต่ปรากฎว่าเรือนที่ปลูกไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 เป็นของผู้มีชื่อ และจำ เลยที่ 2 – 3 เป็นผู้เช่าเรือนพิพาทอยู่จากเจ้าของเรือน ครั้นหมดสัญญาเช่าที่ดินแล้ว โจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลย ที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 – 3 ออกจากที่ และรื้อเรือนพิพาทไป ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาขับไล่ตัวจำเลยที่ 1 ออก จากที่พิพาทไปได้ แต่จะรื้อเรือนพิพาทออกไปด้วยย่อมไม่ได้ เพราะเป็นเรือนของผู้อื่น ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องผู้นั้นด้วย จึงยังไม่มีใครชี้ว่าเจ้าของเรือนพิพาทมีอนาจที่จะคงปลูกเรือนพิพาทอยู่ในที่ของโจทก์หรือไม่ และจะบังคับให้จำเลย ที่ 2 – 3 ซึ่งเป็นผู้เช่าเรือนพิพาทจากเจ้าของเรือนให้ออกไปจากเรือน ก็ไม่ได้ด้วย./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของเดิมปลูกเรือนจำเลยที่ ๒ – ๓ เป็นผู้เช่าเรือน นั้น บัดนี้หมดสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๑ แล้ว และแจ้งให้จำเลยที่ ๒ – ๓ ทราบแล้ว จำเลยทั้งสาม เพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลขับไล่จำเลย.
จำเลยที่ ๒ – ๓ ต่อสู้ว่าเช่าหรือจากนางบุญช่วยฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่า สัญญาเช่าที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับเจ้าของที่ดินเดิมระงับแล้ว จำเลยที่ ๒,๓ ไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ จึงพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ รื้อเรือนไปจากที่ดินด้วย.
จำเลยอุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับนายผ่อนจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากนางสาวปลั่งเจ้าของที่ดินคนเดิมนั้น เมื่อสัญญา เช่าสิ้นอายุและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว นายผ่อนจำเลยก็ไม่มีสิทธิอะไรในที่ดินที่เช่านั้นอีก แต่ที่ศาลล่างบังคับ ให้นายผ่อนจำเลยรื้อเรือนพิพาทไปด้วยนั้น ปรากฎว่าเรือนพิพาทเป็นของนางบุญช่วย ไม่ใช่ของนายผ่อน โจทก์ยังมิ ได้ฟ้องร้องว่ากล่าวกับนางบุญช่วยในเรื่องเรือนที่ปลูกอยู่นี้ จึงยังไม่มีใครชี้ว่า นางบุญช่วยมีอำนาจที่จะคงปลูกเรือนพิ พาทอยู่ในที่ของโจทก์หรือไม่ และจะบังคับให้จำเลยที่ ๒ -๓ ซึ่งเป็นผู้เช่าเรือนพิพาทของนางบุญช่วยให้ออกไปจากเรือน พิพาทไม่ได้
จึงพิพากษาแก้ว่า ให้ขับไล่จำเลยที่ ๑ ออกจากที่ดินของโจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย ฯลฯ

Share