คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินจำเลยเป็นที่ดินมือเปล่า ตามสภาพพออนุมานได้ว่าเป็นที่บ้าน เมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิไม่ใช่แค่เพียงสิทธิครอบครอง จึงควรฟังข้อนำสืบของโจทก์ว่ามีกรรมสิทธิ์ไม่ใช่แต่เพียงสิทธิครอบครอง จึงควรฟังข้อนำสืบของโจทก์ว่ามีกรรมสิทธิ์โดยอาศัยกฎหมายบทใดเสียก่อน ไม่ควรด่วนงดสืบพยาน อนึ่ง ในเรื่องอายุความ จะถือเอาระยะเริ่มที่โจทก์เค้าครอบครองที่ดินเป็นต้นมาไม่ได้ ต้องพิจารณาว่าที่เป็นที่บ้านมาแต่เมื่อใด ถ้าที่ดินได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42แล้ว โจทก์จะต้องละทิ้ง 9 ปี 10 ปี จึงจะขาดสิทธิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ๑ แปลง เมื่อประมาท ๗ ปีมานี้จำเลยสร้างห้องแถวรุกล้ำที่ดินของโจทก์ กับเมื่อประมาณ ๘ เดือนมานี้ จำเลยสร้างส้มล้ำที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้รั้วของโจทก์พังเสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ บังคับให้จำเลยรื้อห้องแถว ส้วมและหลักเขตที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ ๘ ปีมานี้ ฝาห้องแถวของจำเลยพัง จำเลยจึงทำฝาห้องแถวใหม่ โดยถอยห่างมาจากฝาห้องแถวและส้มของจำเลย ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลย ประการสุดท้าย จำเลยตัดฟ้องว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพอวินิจฉัยได้ โดยไม่จำต้องสืบพยานฝ่ายใด จึงให้งดดำเนินกระบวนพิจารณา แล้ววินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๔, ๑๓๗๕ สำหรับส้วมเห็นว่า จำเลยมิได้ปลูกล้ำที่ดินโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินของโจทก์เป็นที่บ้าน จำเลยมิได้ต่อสู้ถึงสิทธิเดิมของโจทก์ว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ จึงไม่ต้องพิจารณาไปถึงว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิที่ดินแปลงนี้ภายหลังประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอันว่า ด้วยการออกโฉนดที่ดินหรือไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์เป็นที่บ้าน โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ คดีโจทก์ยังไม่หมดอายุความ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ติดกัน ทั้งสองฝ่ายต่างมีห้องแถวปลูกในที่ดินของตนมาช้านานแล้ว ที่ดินของโจทก์ยังคงเป็นที่มือเปล่า ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ ตามสภาพของที่ดินพออนุมานได้ว่าเป็นที่บ้าน เมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ไม่ได้อ้างว่ามีเพียงสิทธิครอบครอง ฉะนั้น ควรฟังข้อนำสืบของโจทก์ว่ามีกรรมสิทธิโดยอาศัยกฎหมายบทใด ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย โจทก์จึงไม่มีโอกาสพิสูจน์ว่า โจทก์จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ ๔๒ หรือไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เริ่มมีสิทธิครอบครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ จึงถือว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองภายหลังประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอันว่าด้วยการออกโฉนดที่ดินด้วย คดีจึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า จะถือเอาระยะเริ่มที่โจทก์เค้าครอบครองที่ดินเป็นต้นมาไม่ได้ ต้องพิจารณาว่าที่เป็นที่บ้านมาแต่เมื่อใด ถ้าที่ดินได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ ๔๒แล้ว โจทก์จะต้องละทิ้ง ๙ ปี ๑๐ ปี จึงจะขาดสิทธิ
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share