แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิของโจทก์โดยการครอบครอง จำเลยยื่นคำคัดค้านเถียงกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นสั่งดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน และได้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนี้ถือได้ว่า โจทก์ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทจากจำเลย เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแอพ่ง มาตรา 142 (1) หาเป็นการเกินคำขอไม่
ย่อยาว
โจทก์ยื่นคำร้องว่า  ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๖๑  เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแทน นางเทียบ  นายแทนนางเทียบได้ถวายที่ดินแปลงนี้แก่โจทก์  โจทก์ได้ครอบครองเป็นเจ้าของมาโดยสงบเปิดเผยเป็นเวลาประมาณ ๔๐ ปีแล้ว  จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
นางแสวงยื่นคำร้องคัดค้านว่าที่ดินโฉนดที่ ๗๔๖๑  ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายแทนนางเทียบ  ความจริงเป็นของพระยาสุรินทรฯ  พระยาสุรินทรฯ  รับซื้อฝากจากนายแทนนางเทียบ  แล้วพระยาสุรินทรฯ  ขายให้นายเข่งบิดาผู้ร้องคัดค้าน  นายเข่งได้เข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  เมื่อผู้ร้องคัดค้านอายุได้ ๘ ปี  นายเข่งบิดาได้ยกที่ดินแปลงนี้ให้ผู้คัดค้าน  ผู้คัดค้านจึงเข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผย  ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและปลูกบ้านในที่นี้หนึ่งหลัง  ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
ศาลชั้นต้นดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาท  เรียกผู้ร้องว่าโจทก์  ผู้คัดค้านว่าจำเลยและฟังข้อเท็จจริงว่า  นายแทนนางเทียบ ได้ยกที่พิพาทให้โจทก์  โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปีแล้ว  ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยปลูกเรือนอยู่ในฐานะอาศัยโจทก์ พิพากษาว่าที่ดินโฉนดที่ ๗๔๖๑  เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์  ให้จำเลยออกจากที่พิพาท  ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์  ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า  ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอของโจทก์  คือให้โจทก์ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เท่านั้น  แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาขับไล่จำเลยด้วย  เป็นการไม่ชอบนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้จำเลยเถียงกรรมสิทธิ์  และศาลชั้นต้นสั่งดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาท  แย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยได้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว  จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทจากจำเลย  เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี  ศษลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๑)  คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว  พิพากษายืน

