คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การยึดที่ดินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษากับผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์รวมโดยยังมิได้แบ่งกันเป็นส่วนสัดนั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิยึดได้ทั้งแปลง และศาลย่อมจะให้ขายได้ทั้งแปลง เว้นแต่จะตกลงยินยอมกันให้ขายเฉพาะส่วนของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ เพราะแม้แต่ในระหว่างเจ้าของรวมด้วยกันเอง เมื่อไม่ตกลงแบ่งกันเองได้ ก็ต้องขายทั้งแปลงเช่นเดียวกัน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364) ฉะนั้น เจ้าของรวมจะยื่นคำร้องขอให้งดการขายเพื่อไปแบ่งแยกกันเองเสียก่อน หรือขอให้ขายเฉพาะส่วนของลูกหนี้ไม่ได้ ในเมื่อโจทก์ยืนยันขอให้ขายทั้งแปลง
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23/2504

ย่อยาว

โจทก์นำยึดที่ดินโฉนดซึ่งมีชื่อจำเลยที่ ๒ กับผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของรวม พร้อมอาคารโรงเรือน ๑ หลัง เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยยึดเต็มทั้งโฉนดและศาลประกาศขายทอดตลาดแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดย่อมเสียหายแก่ผู้ร้อง ขอให้สั่งงดการขายเพื่อผู้ร้องจะได้แบ่งแยกส่วนของจำเลยที่ ๒ ออกหรือมิฉะนั้นให้ขายเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๒ เพียงส่วนเดียว
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องจัดการแบ่งแยกใน ๒ เดือน ถ้าพ้นกำหนดแล้วไม่จัดการอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินรายนี้จำเลยที่ ๒ มีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่กับผู้ร้องโดยยังมิได้แบ่งกันเป็นส่วนสัด เมื่อเป็นเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธินำยึดได้ทั้งแปลงเพราะจะให้ยึดแต่เฉพาะส่วนของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ย่อมไม่มีทางจะทำได้ และศาลย่อมจะให้ขายได้ทั้งแปลง เว้นแต่จะตกลงยินยอมกันให้ขายเฉพาะส่วนของจำเลยได้ เพราะแม้แต่ในระหว่างเจ้าของรวมด้วยกัน เมื่อไม่ตกลงแบ่งกันเองได้ ก็ยังต้องขายทั้งแปลงเช่นเดียวกัน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๖๔) คดีนี้โจทก์ยืนยันขอให้ขายทั้งแปลง ศาลชอบที่จะปฏิบัติตามนี้
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share