คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าเช่านาซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญต่อมาได้ฟ้องเจ้าของนาต่อสู้กรรมสิทธิคดีถึงที่สุด ผู้เช่าแพ้คดี ศาลฟังว่าเป็นการเช่านากัน เจ้าของนาจึงฟ้องขอให้ขับไล่ ผู้เช่าจะอ้างว่าได้มีเจตนาถือสิทธิในที่พิพาทแล้วตั้งแต่วันฟ้องคดีแรกเจ้าของนามิได้ฟ้องผู้เช่าเสียภายใน 1 ปี จึงขาดอายุแล้ว เช่นนี้มิได้เพราะผู้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่ารู้เสียก่อนว่าตนได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือไม่ยึดถือไว้แทนผู้ให้เช่าต่อไป จึงจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ โจทก์ได้นารายพิพาทจากนายคุ้ย ทรัพย์เย็น โดยโจทก์แต่งงานกับบุตรสาวนายคุ้ย และได้ให้จำเลยเช่า ต่อมานางแอบภรรยาจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าโดยความยินยอมของจำเลย จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอให้แสดงว่านารายนี้เป็นของจำเลย คดีถึงที่สุดว่านาเป็นของโจทก์ ๆ ได้บอกเลิกการเช่าแล้ว ขอให้บังคับให้จำเลยออกไปและชำระค่าเช่าที่ค้าง
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนภายใน ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยแสดงเจตนาถือสิทธิในที่พิพาทตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๔๙๔
คู่ความอ้างสำนวนคดีแดงที่ ๑๒/๒๔๙๖ มาประกอบการพิจารณาและจำเลยขอต่อสู้ข้อครอบครองปรปักษ์ข้อเดียว ทั้งสองฝ่ายไม่ขอสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่รายพิพาทและให้ชำระค่าเช่า
จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทโดยการเช่า เป็นการครอบครองแทนโจทก์ เมื่อจำเลยจะเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ จำเลยจะต้องบอกกล่าวไปยังโจทก์ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๘๑ เสียก่อนมิฉนั้นจำเลยจะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้
พิพากษายืน

Share