แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูตามสัญญายอมนั้น จัดเข้าเป็นคดีที่ขอให้ศาลบังคับจำเลยอย่างอื่นนอกจากเรียกทุนทรัพย์ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ.127 ม.144
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายย่อมอุทธรณ์ได้เสมอ ไม่จำกัดว่าเป็นคดีมโนสาเร่หรืออย่างอื่น
ย่อยาว
โจทก์ในคดีนี้ฟ้องเรียกเงินค่าเลี้ยงดูจากจำเลยตามสัญญายอมความ ในคดีแดงที่ ๓๔๖/๒๔๗๒ ของศาลโปริสภา สำหรับเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ เป็นเงิน ๕๕ บาท และเดือนต่อ ๆ ไปอีกเดือนละ ๕๕ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง จำเลยจึงยื่นฟ้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าคดีนี้เป็นคดีมโนสาเร่ไม่ใช่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยอย่างอื่น ตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ.๑๒๗ ม.๑๔๔ อุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ลักษณอุทธรณ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๔๗๖ ม.๓
ศาลฎีกาตัดสินว่า ใจความสำคัญแห่งฟ้องของโจทก์ก็คือขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมการที่โจทก์กล่าวถึงจำนวนเงินก็เป็นแต่การจาระนัยเนื้อเรื่องตามยอมเท่านั้น หาใช่เป็นองค์สำคัญแห่งข้อหาไม่ โจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาล ๒๐ บาท และในขั้นอุทธรณ์จำเลยก็เสียค่าขึ้นศาล ๒๐ บาท คดีโจทก์จึงจัดเข้าเป็นคดีที่ขอให้ศาลบังคับจำเลยอย่างอื่นนอกจากเรียกทุนทรัพย์ จึงไม่ต้องห้ามตามพ.ร.บ.ลักษณอุทธรณ์แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๔๗๖ ม.๓ และตาม ม.๓ แห่ง พ.ร.บ.ลักษณอุทธรณ์ พ.ศ.๒๔๗๓ ก็เพียงห้ามอุทธรณ์ในคดีทุนทรัพย์ไม่เกิน ๒๐๐ บาทฉะเพาะแต่ในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ห้ามในข้อกฎหมาย จึงพิพากษาให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยต่อไป ค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ผู้แพ้คดีที่สุดเป็นผู้เสีย