คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เกี่ยวกับกำหนดเวลาจำคุกผู้กระทำผิดตามคำพิพากษานั้น ก.ม.อาญา ม.32 บัญญัตินับแต่วันต้องคุมขัง เว้นแต่ในคำพิพากษาจะสั่งเป็นอย่างอื่น เช่นสั่งให้นับแต่วันคดีถึงที่สุดเป็นต้น
แต่ถ้าจะสั่งให้นับต่อจากคดีเรื่องอื่นก็จำต้องมีคำขอเช่นนั้น ซึ่งโดยปกติโจทก์ต้องขอมาในฟ้อง ถ้าจะขอภายหลังก็ต้องขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตาม ป.วิ.อาญา ม.163 แม้ ม.215 จะให้นำบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาและว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นมาบังคับในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลมก็ดี ม.163 ก็อยู่ในลักษณะฟ้องคดีอาญาและไต่สวนมูลฟ้องหาได้อยู่ในลักษณะการพิจารณาไม่ จึงอาศัยความในมาตรานี้นับโทษต่อให้ไม่ได้.

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องทั้งสามสำนวนว่าจำเลยกับพวกที่ศาลลงโทษแล้วและที่หลบหนีบังอาจสมคบกันจับตัวนายคืน น.ส.คำนึง นายหวล นายทวี แล้วใช้ปืนบังคับให้คนทั้ง ๔ ไปกับพวกจำเลยเพื่อสินไถ่และทำการหน่วยเหนี่ยวกักขังคนทั้ง ๔ ไว้เรียกสินไถ่คนทั้ง ๔ รวมเป็นเงิน ๒ คราว ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ก่อนคดีนี้นายนิตย์จำเลยถูกศาลจังหวัดสิงห์บุรีพิพากษาลงโทษจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานพ้นโทษยังไม่ครบ ๕ ปี ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษนายนิตย์จำเลยตาม ก.ม.อาญา ม.๒๗๐,๖๓,๗๒ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.อาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) ม.๓
จำเลยทุกคนปฏิเสธ ต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ นายนิตย์จำเลยรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง
ศาลจังหวัดอ่างทองพิจารณาแล้วเชื่อว่านายนิตย์จำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาว่านายนิตย์จำเลยมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๒๗๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม. อาญา พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่๔) ม.๓ ให้จำคุก ๑๖ ปี เพิ่มโทษตาม ม.๓๒ อีก ๑ ใน ๓ เป็นโทษจำคุก ๒๑ ปี ๔ เดือน แต่คงให้จำคุกไว้เพียง ๒๐ ปี ตาม ม.๓๖ ส่วนนายชิต นายพลุ นั้นพยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยให้ยกฟ้องคดีเฉพาะตัวนายชิต นายพลุ จำเลย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษนายชิต นายพลุ จำเลยด้วย ฝ่ายนายนิตย์จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษคำจุกนายชิต นายพลุ จำเลยตาม ก.ม.อาญา ม.๒๗๐ แก้ไขโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.อาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) ม.๓ มีกำหนดคนละ ๑๖ ปี นอกนี้คงยืน
ส่วนคำร้องของโจทก์ที่ขอให้นับโทษนายชิตนายพลุต่อจากคดีอาญาแดงที่ ๖๗๗,๖๗๘/๙๗ ซึ่งศาลจังหวัดอ่างทองลงโทษจำเลยระหว่างศาลอุทธรณ์กำลังพิจารณาคดีนี้อยู่นั้นเห็นว่า คำขอนี้ไม่ใช่เป็นข้อคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และไม่ใช่ประเด็นในคดีที่ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแล้ว หากเป็นคำขอขึ้นมาใหม่ ให้ยกเสีย
แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า โจทก์ไม่มีโอกาสที่จะขอในศาลชั้นต้นและโจทก์มิได้ชักช้า เห็นสมควรให้นับโทษต่อได้
โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษนายชิต นายพลุ จำเลยต่อจากคดีอาญาแดงที่ ๖๗๗,๖๗๘/๒๔๙๗ ฝ่ายจำเลยขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยทั้งสามกับพวกได้กระทำผิดรายนี้ดังศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมา
ส่วนข้อขอให้นับโทษต่อตามฎีกาของโจทก์นั้นได้ความว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๐ เม.ย.๙๗ วันที่ ๒๐ พ.ย. ๙๗ พิพากษาลงโทษนายชิต นายพลุ จำเลยตามคดีแดงที่ ๖๗๗,๖๗๘/๒๔๙๗ วันที่ ๒๓ เดือนเดียวกัน โจทก์ยื่นคำร้องในคดีที่นายชิต นายพลุจำเลยถูกฟ้องนี้ ขอให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากคดีสองสำนวนนั้น
เห็นว่ากำหนดเวลาจำคุกผู้กระทำผิดตามคำพิพากษานั้น ก.ม.อาญา ม.๓๒ บัญญัติให้นับแต่วันต้องคุมขัง เว้นแต่ในคำพิพากษาจะสั่งเป็นอย่างอื่น เช่นสั่งให้นับแต่วันคดีถึงที่สุด เป็นต้น แต่ถ้าจะสั่งให้นับต่อจากคดีเรื่องอื่น ก็จำต้องมีคำขอเช่นนั้น ซึ่งโดยปกติโจทก์ต้องขอมาในฟ้อง ถ้าจะขอภายหลังก็ต้องขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.อาญา ม.๑๖๓ แม้ ม.๒๑๕ จะให้นำบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาและว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นมาบังคับในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลมก็ดี ม.๑๖๓ ก็อยู่ในลักษณะฟ้องคดีอาญาและไต่สวนมูลฟ้อง หาได้อยู่ในลักษณะการพิจารณาไม่ นับโทษต่อตามคำขอของโจทก์ไม่ได้ดังศาลอุทธรณ์พิพากษา พิพากษายืน.

Share