แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยึดทรัพย์จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้อง ๆ ขัดทรัพย์ว่าจำเลยขายฝากให้ตนแล้วศาลมีอำนาจชี้ขาดว่านิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยกับผู้ร้องทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่โดยที่โจทก์มิต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมก่อน,
อ้างฎีกาที่ 181/2481,ยื่นคำร้องว่ามีความประสงค์จะแต่งทนายกรุงเทพฯอีกคนหนึ่งเพื่อสะดวกในการแถลงคารมาที่ศาลอุทธรณ์  ดังนี้ไม่ถือว่าเป็นคำแถลงความประสงค์ในการที่จะมาว่าคดีทีศาลอุทธรณ์่
ย่อยาว
โจทก์ชนะความจำเลยแล้วยึดที่ดิน  ๒ แปลง  ผุ้ร้อง ๆ ขัดทรัพย์ว่าจำเลยได้ทำสัญญาขายฝากไว้กับตน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์เสีย  เพราะสัญญาขายฝากที่จำเลยกับผู้ร้องทำขึ้นนั้นเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบและผู้ร้องก็รู้ด้วย
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าที่ผู้ร้องฎีกาคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ไม่ยอมให้ทนายของผู้ร้องแถลงการณ์ตามที่ร้องไว้นั้น  เห็นว่าคำร้องของผู้ร้องมีว่า  ผู้ร้องมีความประสงค์จะแต่งทนายที่กรุงเทพฯ  อีกคนหนึ่งเพื่อสะดวกในการแถลงคาราที่ศาลอุทธรณ์  หาพอจะถือว่าเป็นคำแถลงความประสงค์ที่จะมาว่าคดีในขั้นอุทธรณ์ไม่  ฎีกาอีกข้อหนึ่งที่ว่า  ศาลจะชี้ขาดในสำนวนชั้นขัดทรัพย์นี้ว่าสัญญาขายฝากที่ผู้ร้องอ้างทำให้โจทก์เสียเปรียบ  โดยที่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมก่อน  ไม่ต้องด้วยความประมวลแพ่งฯ  ม.๒๓๗ นั้น  เห็นว่าโจทก์ยึดที่สวนรายนี้โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย  ผู้ร้องว่าเป็นของผู้ร้อง  จึงมีประเด็นว่า  ที่สวนนี้เป็นของจำเลยหรือผู้ร้องตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.๒๘๘  ศาลอาจชี้ขาดในข้อนี้ได้โดยมิต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนตามนัยฎีกาที่ ๑๘๑/๒๔๘๑ และไม่ขัดต่อประมวลแพ่งฯ ม.๒๓๗  ด้วย จึงพิพากษาให้ยกฎีกาผู้ร้อง
