แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยต่างได้รับให้ที่ดินด้วยกันมา และต่างก็ได้ปกครองกันมาเป็นสัดส่วนเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ภายหลังจำเลยเอาโฉนดไปแก้ทะเบียนลงชื่อตนแต่ผู้เดียวโดยโจทก์มิได้ยินยอมดังนี้ต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้อยู่ในฐานะจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจดทะเบียนเสียแต่ผู้เดียวให้เป็นการเสียเปรียบแก่โจทก์
คดีแพ่งทุนทรัพย์ที่พิพาทมีราคาเพียง 200 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คู่ความฎีกาได้ฉะเพาะแต่ข้อกฎหมาย
ย่อยาว
ได้ความว่าโจทก์เป็นบุตร์เลี้ยง ก. จำเลยเป็นบุตร์ ก. ๆ มีนาอยู่แปลงหนึ่ง โฉนดที่ ๔๘๑๒ ราคา ๖๐๐ บาท เมื่อประมาณ ๑๖, ๑๗ ปีมานี้ ก.ได้แบ่งที่นี้ให้แก่โจทก์และจำเลย โจทก์ จำเลยต่างเข้าครอบครองทำกินในที่นานั้นตามส่วนสัด ครั้น ก. ตาย จำเลยนำโฉนดที่นานายนี้ไปประกาศรับมฤดกต่อหอทะเบียนที่ดิน โจทก์มิได้ไปร้องด้วย เพราะจำเลยรับรองว่าจะเอาชื่อโจทก์ใส่ในโฉนดด้วย ครั้นโอนรับมฤดกเสร็จแล้วปรากฎว่าน่าโฉนดไม่มีชื่อโจทก์ๆ จึงฟ้องคดีนี้ขอให้แบ่งแยกที่ดินลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ที่นาตอนพิพาทเป็นสิทธิแก่โจทก์ ให้จำเลยแบ่งแยกให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าศาลล่างทั้ง ๒ ตัดสินต้องกันมาว่าโจทก์ครอบครองที่รายพิพาทมาโดยเปิดเผยด้วยความสงบพร้อมทั้งเจตนาเป็นเจ้าของเกิน ๑๐ ปี แล้ว ที่จำเลยคัดค้านว่าการยกให้มิได้ทำตามแบบกฎหมายจึงมิต้องวินิจฉัยถึง ส่วนฎีกาของจำเลยอีก ๒ ข้อนั้น ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.๒๔๘ โจทก์เป็นผู้อยู่ในฐานะจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจดทะเบียนการโอนรับมฤดกเสียแต่ผู้เดียว โจทก์เสียเปรียบ จึงพิพากษายืนตามศาลล่างทั้ง ๒