คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขายนาสินเดิมไปแล้วเอาเงินนั้นซื้อนาอีกแปลงหนึ่งในวันเดียวกันนั้นเอง ดังนี้แสดงให้เห็นชัดว่าได้ทรัพย์ใหม่นั้นมาแทนทรัพย์เก่า ทรัพย์ใหม่ที่ได้มาจึงเป็นสินเดิม มาตรา 1464 บัญญัติไว้เป็นหลักกว้าง ๆ รวมทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ว่า การยกให้สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ใดให้เป็นสินส่วนตัวให้ทำเป็นหนังสือโดยไม่บัญญัติว่าจะต้องจดทะเบียนหรือไม่ ก็เมื่อการยกอสังหาริมทรัพย์ให้กันโดยธรรมดา กฎหมายบังคับให้จดทะเบียนจึงจะสมบูรณ์ ดังนั้นการยกอสังหาริมทรัพย์ใดให้เป็นสินส่วนตัวก็จะต้องจดทะเบียนด้วยจึงจะสมบูรณ์

ย่อยาว

คดีนี้ได้ความว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ก่อนสมรสจำเลยที่ ๑ ได้รับมรดกที่ดินโฉนดที่ ๕๔๓๔ จากบิดาในโฉนดมีชื่อบิดา และ อาของจำเลยเป็นเจ้าของร่วม เพิ่งได้รับโฉนดใหม่โดยแบ่งแยกจากโฉนดเดิม(ที่ ๕๔๓๔) ระหว่างโจทก์จำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันแล้วคือโฉนดที่ ๖๕๗๑ ระหว่างสมรสจำเลยที่ ๑ ได้โอนขายโฉนดที่ ๖๕๗๑ และในวันเดียวกันนั้นเองได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๔๗๔๖ ลงชื่อจำเลยที่ ๑ ผู้เดียว ต่อมานายเสมผู้เป็นตาจำเลยที่ ๑ โอนยกที่ดินโฉนดที่ ๔๗๖๔ให้แก่จำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้โอนขายที่นาทั้งสองโฉนด(๔๗๔๖ และ ๔๗๖๔ ) ให้แก่จำเลยที่๒ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแล้วจำเลยที่ ๑ จึงฟ้องหย่าขาดกับโจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ขึ้น
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินทั้งสองโฉนดเป็นสินสมรส จำเลยที่๑ โอนขายให้จำเลยที่๒ ไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ การซื้อขายเป็นไปโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลทำลายการโอนซื้อขายให้ที่ดินกลับสู่สภาพสินสมรส แล้วแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง และให้เอาสินสมรสหักใช้สินเดิมของโจทก์ ๗๕๐ บาทอีกด้วย
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสินเดิม นาโฉนดที่ ๔๗๔๖ เป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ นาโฉนดที่ ๔๗๖๔ เป็นสินส่วนตัว ที่ดินทั้งสองแปลงจำเลยขายไปโดยสุจริต
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า จำเลยรับซื้อไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน
ศาลชั้นต้นฟังว่าโฉนดทั้งสองคือที่ ๔๗๔๖ และที่ ๔๗๖๔จำเลยที่ ๑ ซื้อและได้รับยกมาระหว่างจำเลยเป็นภริยาโจทก์ต้องถือว่าเป็นสินสมรส หนังสือยกให้ว่ายกให้เป็นสินส่วนตัวมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงใช้ไม่ได้ พิพากษาให้ทำลายการโอนซื้อขายนาพิพาท ให้แบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โฉนดที่ ๔๗๔๖ เป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ขายโฉนดที่ ๖๕๗๑ สินเดิมของจำเลยไปแล้วเอาเงินมาซื้อโฉนดที่ ๔๗๔๖ แม้จำนวนเงินไม่เท่ากันจำเลยก็นำสืบฟังได้ว่า ที่ลงจำนวนเงินใบสัญญาซื้อขายน้อยแก่ความจริงนั้นเพื่อเสียค่าธรรมเนียมน้อย
ส่วนโฉนดที่ ๔๗๖๔ นั้นสัญญาให้กรรมสิทธิและการแก้ทะเบียนหลังโฉนดที่ ๔๗๖๔ ซึ่งนายเสมยกให้มิได้ระบุให้เป็นสินส่วนตัวตามมาตรา ๑๔๖๔ จึงไม่มีผลเป็นสินส่วนตัวของจำเลย
พิพากษาแก้ศาลชั้นต้นว่า นาโฉนดที่ ๔๗๔๖ เป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ ไม่จำเป็นต้องเพิกถอนการซื้อขาย นอกจากนี้ยืน
โจทก์จำเลยทั้งสองต่างฎีกา
โจทก์ฎีกาขอให้ที่นาโฉนดที่ ๔๗๔๖ เป็นสินสมรสแล้วแบ่งให้โจทก์
จำเลยฎีกาขอให้นาโฉนดที่ ๔๗๖๔ เป็นสินสมรสส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ ตามความในมาตรา ๑๔๖๔
สำหรับนาโฉนดที่ ๔๗๔๖ นาพิพาทศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ขายนาสินเดิมไป แล้ว ได้เอาเงินนั้นซื้อนาพิพาทในวันเดียวกันนั้นเองแสดงให้เห็นว่าได้ทรัพย์ใหม่มาแทนทรัพย์เก่าตรงตามมาตรา ๑๔๖๕ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของจำเลยที่โต้เถียงว่า มาตรา ๑๔๖๔ บัญญัติไว้เพียงให้มีหนังสือไว้เท่านั้นว่าเป็นสินส่วนตัว ไม่บังคับว่าต้องจดทะเบียนด้วยนั้น เห็นว่าตามตัวบทมาตรานี้ บัญญัติไว้เป็นหลักกว้าง ๆ รวมทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ เมื่อทรัพย์ที่ยกให้นั้นเป็นที่ดินอันมีโฉนดแผนที่แล้วกฎหมายบัญญัติไว้ชัดว่าการให้ที่ดิน่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะสมบูรณ์ เมื่อจำเลยได้รับนาพิพาท(โฉนดที่ ๔๗๖๔) โดยไม่มีข้อความระบุให้เป็นสินส่วนตัว นาพิพาทนี้จึงต้องเป็นสินสมรสพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์จำเลย

Share