คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2477

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กฎหมายปิดปาก ฟ้อง การฟ้องเด็กให้รับผิดตามสัญญานั้นต้องฟ้องทางผู้ปกครองเด็ก นิติกรรมทำกับใครก็ต้องฟ้องคนนั้น ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้นถ้าจำเลยมีข้อที่ควรจะคัดค้าน แต่นิ่งเสียไม่คัดค้านกฎหมายปิดปากมิให้ร้องคัดค้านได้ต่อไป

ย่อยาว

ได้ความว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ จำเลยที่ ๑ -๒ ได้กู้เงินโจทก์ไปในส่วนตัวแลฐานเป็นผู้ปกครองจำเลยที่ ๓(ผู้ร้องจำเลยที่ ๓ เองได้ลงลายมือชื่อไว้ว่าเป็นผู้กู้ด้วย แลได้มอบโฉนดเลขที่ ๒๓๐๒ ซึ่งจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิให้ไว้เป็นประกัน ทั้งจำเลยที่ ๓ ก็ได้ลงชื่อไว้ในสัญญาประกันนั้นด้วย แลในสัญญานี้มิได้ปีกล่าวถึงอายุจำเลยที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ราายนี้จากจำเลยทั้ง ๓ ส่วนจำเลยที่ ๓ นั้นได้ถูกฟ้องทางผู้ปกครอง จำเลยขาดนัดชั้นยืนคำให้การ ศาลเดิมได้ประกาศเรียกจำเลยทางหนังสือพิมพ์แล้วดำเนินการพิจารณาแลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี โจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยพร้อมทั้งโฉนดที่ ๒๓๐๒ ขายทอดตลาดครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖ แต่ได้เงินยังไม่พอใช้หนี้แลผู้ร้องก็ทราบแต่มิได้คัดค้านประการใดต่อมาโจทก์ยึดทรัพย์ครั้งที่ ๒ อีกเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ ผู้ร้องจึงร้องขัดทรัพย์ แลกล่าวว่าผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชอบตามคำพิพากษาเพราะในเวลาโจทก์ฟ้องคดีผู้ร้องบรรลุนิติภาวะแล้วโจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้อง(จำเลยที่ ๓) เป็นจำเลยของ แต่ฟ้องทางบิดา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓ ทางผู้ปกครองนั้นชอบแล้ว เพราะโจทก์จำเลยต้องฟ้องตามสัญญากู้ หรือต้องฟ้องจำเลยตามนิติกรรมซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำต่อกันไว้ทั้งในสัญญากู้มิได้ระบุอายุจำเลยที่ ๓ โจทก์ย่อมทราบไม่ได้จากสัญญาว่าจำเลยจำเลยที่ ๓ บรรลุนิติภาวะแล้วเวลาที่ฟ้องความ แลจำเลยที่ ๓ ต้องการคัดค้านอย่างใด ก็ชอบที่ยื่นคำร้องขึ้นมา โจทก์จึงจะต้องจัดการแก้ฟ้อง เมื่อผู้ร้องนิ่งเฉยอยู่ตลอดมา(เป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี) ก็ต้องเป็นที่เข้าใจว่าเดิมผู้ร้องไม่ประสงค์คัดค้านเลย ทั้งในเวลาที่ยึดทรัพย์ของผู้ร้องครั้งแรก ผู้ร้องก็มิได้คัดค้านอย่างใด ส่วนที่ผู้ร้องแก้ว่าเหตุมิได้คัดค้านก็เพราะทรัพย์นั้น โจทก์ยึดถือไว้เพื่อค้ำประกันเมื่อเช่นนี้ก็ต้องถือว่าผู้ร้องยินยอมกระทำตามคำพิพากษาตลอดมา ผู้ร้อง ๆ ไม่ขึ้น กฎหมายปิดปาก จึงให้ขายทรัพย์ที่ยึด

Share