คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ค้ำประกันไม่จำต้องชำระหนี้ก่อนหนี้ถึงกำหนด แม้จะปรากฏว่าลูกหนี้ไม่สามารถถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนไขเวลาได้ต่อไป เจ้าหนี้มีอำนาจสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเสียได้ แต่การสละนั้นไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งกันจะฟังได้รับแต่เงื่อนเวลานั้น

ย่อยาว

คดีนี้ได้ความว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไป ๘๐๐ บาท สัญญากู้ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๖ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน สัญญากู้แลค้ำประกันนี้มีกำหนดชำระภายในเวลา ๒ ปี แต่ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๗ โดยกล่าวว่าจำเลยที่ ๑ ถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องขอให้เอาโฉนดที่ให้ไว้เป็นประกันออกขายทอดตลาด จึงขอให้จำเลยใช้ต้นเงินแลดอกเบี้ย
ศาลเดิมเห็นว่าแม้สัญญาจะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ดี แต่ปรากฏว่าจำเลยมีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากำลังจะถูกขายทอดตลาดและไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ๆ ย่อมมีอำนาจฟ้องร้องได้ตามประมวลแพ่งมาตรา ๑๕๓-๑๕๕ พิพากษาให้จำเลยที่๑ ใช้เงิน ๘๐๐ บาทแก่โจทก์ ถ้าไม่ใช้ให้จำเลยที่ ๒ ใช้แทน
ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนฉะเพาะจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ได้ ก่อนถึงกำหนดเวลาตาม ม.๑๕๕ ก็ดี แต่เห็นว่าสำหรับจำเลยที่ ๒ นั้น ตามมาตรา ๖๘๗ ผู้ค้ำประกันไม่จำต้องชำระก่อนหนี้ถึงกำหนดถึงแม้ว่าลูกหนี้คือจำเลยที่ ๑ จะไม่อาจถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาได้ต่อไปแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ได้บอกเลิกแลสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาแล้วนั้น เห็นว่าตาม ม.๑๕๔ วรรค ๒ โจทก์สละเสียฝ่ายเดียวได้จริง แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งอันจะพึงได้รับแต่เงื่อนเวลานั้นจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้อง สำหรับจำเลยที่ ๒ เสีย

Share