คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9996/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฟ้องแย้งเรียกให้โจทก์ทั้งสองคืนเงินประกันอันเนื่องจากสัมปทานสิ้นสุด มิใช่เป็นการติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 แต่เป็นการเรียกร้องสิทธิตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลงสัมปทาน ซึ่งกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความสิบปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 แต่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฟ้องแย้งเรียกเงินประกันดังกล่าวคืนเกินสิบปีนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบเข็มทิศ 13 อัน โซ่รังวัดหรือเทปเหล็ก(ยาว 20 เมตร) 16 เส้น ขวาน 3 เล่ม เครื่องสูบน้ำ 7 เครื่อง รถบรรทุกขนาดกลาง 7 คัน หอดูไฟ 2 หอ ค้อน 2 อัน สิ่ว 2 เล่ม คีม 2 อัน ไขควง 2 อัน และกุญแจเลื่อน 2 อัน ให้แก่โจทก์ หากไม่ส่งมอบหรือส่งมอบไม่ได้ ให้ชำระเป็นเงิน 2,748,190 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนถึงวันที่จำเลยทั้งหกชดใช้ให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินประกันพร้อมดอกเบี้ย จำนวน 1,198,243.83 บาท แก่จำเลยที่ 1 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 680,000 บาทนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ร่วมกันส่งมอบเข็มทิศ 13 อัน โซ่รังวัดหรือเทปเหล็ก (ยาว 20 เมตร) 16 เส้น ขวาน 3 เล่ม เครื่องสูบน้ำ 7 เครื่อง รถบรรทุกขนาดกลาง 5 คัน หอดูไฟ 2 หอ ค้อน 2 อัน สิ่ว 2 เล่ม คีม 2 อัน ไขควง 2 อันและกุญแจเลื่อน 2 อัน ให้แก่โจทก์ที่ 2 หากไม่ส่งมอบหรือส่งมอบไม่ได้ให้ชำระราคาแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 879,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดี คำขออื่นของโจทก์ทั้งสองนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้ง
โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยื่นคำร้องว่ามีพระราชกฤษฎีกา โอนกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปเป็นกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปรับปรุงอำนาจหน้าที่และกิจการของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2546 มาตรา 22 จึงขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ไม่คัดค้าน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่าพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกำหนดให้โอนกรมป่าไม้ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ร้อง จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ได้ และต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์ให้เรียกทายาทของจำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนเพราะฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ฝ่ายจำเลยและทายาทจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดประสงค์จะเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ไม่ต้องส่งมอบรถบรรทุกขนาดกลาง 7 คัน แก่โจทก์ที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 3 5 และที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ต่อมาจดทะเบียนเลิกกิจการ โดยมีจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 เป็นผู้ชำระบัญชี เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2516 วันที่ 10 และ 11 เมษายน 2517 จำเลยที่ 1 ได้รับสัมปทานทำไม้หวงห้ามธรรมดานอกจากไม้สักจากโจทก์ที่ 1 รวม 7 สัมปทาน คือ ฉบับที่ 154/2516 ฉบับที่ 156/2516 ฉบับที่ 157/2516 ฉบับที่ 158/2516 ฉบับที่ 159/2516 ฉบับที่ 22/2517 และฉบับที่ 23/2517 มีกำหนดระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี ตามสัมปทาน โดยสัมปทานแต่ละฉบับมีข้อกำหนดและเงื่อนไข ข้อ 19 ว่า ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่ดำเนินการป้องกันไฟสำหรับป่าสัมปทานและป่าที่มีการปลูกและบำรุงรักษาตามข้อ 17 วรรคสอง ทั้งนี้ตามวิธีการที่กรมป่าไม้กำหนด และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาวิธีการป้องกันไฟป่ากับโจทก์ที่ 2 ซึ่งสัญญาวิธีการป้องกันไฟป่า ข้อ 9 กำหนดว่า เมื่อสัมปทานสิ้นสุดลงด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ผู้รับสัมปทานยินยอมยกหอดูไฟและอุปกรณ์ในการดับไฟทั้งหมดให้เป็นของโจทก์ที่ 2 และในการรับสัมปทานดังกล่าว จำเลยที่ 1 วางเงินประกันไว้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 680,000 บาท ระหว่างอายุสัมปทานทำไม้ โจทก์ที่ 1 โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 32/2532 ลงวันที่ 17 มกราคม 2532 ให้สัมปทานทำไม้หวงห้ามทุกชนิด (เว้นสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน) ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ทุกสัมปทานสิ้นสุดลงทั้งแปลงตามสำเนา จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ส่งมอบหอดูไฟและอุปกรณ์ในการดับไฟป่าทั้งหมดให้เป็นของโจทก์ที่ 2 สำหรับคำขอให้ส่งมอบอุปกรณ์ในการดับไฟได้แก่เข็มทิศ โซ่รังวัดหรือเทปเหล็ก ขวาน เครื่องสูบน้ำ หอดูไฟ ค้อน สิ่ว คีม ไขควง และกุญแจเลื่อนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ร่วมกันส่งมอบแก่โจทก์ที่ 2 ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ไม่อุทธรณ์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของ จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฎีกาว่า การเรียกเงินประกันคืน ถือเป็นกรณีการใช้สิทธิเรียกคืนทรัพย์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ อันเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีอายุความ เนื่องจากเหตุที่ทำให้สัมปทานทั้ง 7 สัมปทานสิ้นสุดลง มิได้เกิดจากความผิดของจำเลยที่ 1 แต่เกิดจากนโยบายปิดป่าของรัฐบาล เมื่อสัมปทานสิ้นสุดลง โจทก์ทั้งสองมีหน้าที่คืนเงินประกันแก่จำเลยที่ 1 และเมื่อเงินประกันยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกคืนได้ตราบเท่าที่โจทก์ทั้งสองยังคงครอบครองเงินดังกล่าวอยู่นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฟ้องแย้งเรียกให้โจทก์ทั้งสองคืนเงินประกันอันเนื่องจากสัมปทานสิ้นสุด มิใช่เป็นการติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แต่เป็นการเรียกร้องสิทธิตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลงสัมปทาน ซึ่งกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 แต่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฟ้องแย้งเรียกเงินประกันดังกล่าวคืนเกินสิบปีนับแต่วันที่ 17 มกราคม 2532 ซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสอง และฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ

Share