แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึง 10 ปี ซึ่งเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาได้ โดยมิต้องฟังพะยานโจทก์ต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงโทษจำเลยตามคำรับสารภาพเสมอไปในเมื่อปรากฎตามหลักฐานในสำนวนขัดแย้งกับคำรับของจำเลย
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ตามใบชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ปรากฎตามใบชันสูตรบาดแผลว่า รักษาในโรงพยาบาล 8 วันทุเลาอีกประมาณ 14 วันหาย รวมเป็น 22 วัน ข้อว่าไม่สามารถประกอบการหาเลี้ยงชีพได้ตามปรกติเกิน 20 วันนั้นเป็นข้อเท็จจริง ในวันที่จำเลยมาให้การรับสารภาพต่อศาลก็เป็นเวลาถึง 2 เดือนเศษจากวันที่ทำร้ายกัน จำเลยย่อมทราบความข้อนี้ดี โจทก์ไม่จำต้องสืบพะยานอะไรอีก ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องรู้และวินิจฉัยถึงว่าผู้บาดเจ็บมีอาชีพอะไร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ ๑ ทำร้ายจำเลยที่ ๒ มีบาดเจ็บสาหัส ดังปรากฎตามใบชัณสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง จำเลยที่ ๒ ทำร้ายจำเลยที่ ๑ ไม่ถึงบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๕๖,๕๙ จำเลยที่ ๒ ผิดตามมาตรา ๓๓๕ (๑๔) ๕๙ จำคุกจำเลยที่ ๑ หนึ่งปี จำเลยที่ ๒ ปรับ ๑๕ บาท จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่าตามรายงานบาดแผล ๆ ของจำเลยที่ ๒ ไม่สาหัส ศาลอุทธรณ์แก้ว่าจำเลยที่ ๑ ผิดตามมาตรา ๒๕๔ จำคุก ๖ เดือน นอกนั้นยืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึง ๑๐ ปี ซึ่งเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาได้ โดยมิต้องฟังพะยานโจทก์ต่อไป จริงอยู่ศาลย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องลงโทษจำเลยตามคำรับสารภาพเสมอไป ในเมื่อปรากฎตามหลักฐานบาดแผลของจำเลยที่ ๒ ว่ารักษาในโรงพยาบาล ๘ วันทุเลา อีกประมาณ ๑๔ วันหาย ซึ่งรวมกันเป็น ๒๒ วัน ดังนี้หาขัดแย้งต่อคำรับของจำเลยไม่ ข้อที่ว่าไม่สามารถประกอบการหาเลี้ยงชีพได้ตามปกติเกิน ๒๐ วันนั้นเป็นข้อเท็จจริง ในวันที่จำเลยมาให้การรับสารภาพต่อศาลเป็นเวลาถึง ๒ เดือนเศษจากวันที่ทำร้ายกัน จำเลยย่อมทราบความข้อนี้ได้ดี โจทก์ไม่จำต้องนำสืบอะไรอีก ข้อที่ว่าจำเลยที่ ๒ ผู้บาดเจ็บมีอาชีพอะไรไม่ปรากฎนั้น เห็นว่าไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องรู้ และต้องวินิจฉัยอีก เพราะจำเลยที่ ๑ รับรองในข้อเท็จจริงนี้แล้ว
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น