คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 994/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยเข้าร่วมกันประกอบกิจการขนส่ง โดยจำเลยกระทำในนามและตามคำสั่งของโจทก์ ส่วนโจทก์หักค่าขนส่งบางส่วนไว้ซึ่งถือได้ว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบกิจการขนส่งนั้นเมื่อสินค้าที่โจทก์จำเลยได้รับมอบหมายให้ขนส่งจากเจ้าของสินค้าผู้ส่งสูญหายไปเพราะความผิดของลูกจ้างจำเลย ทั้งโจทก์และจำเลยต้องร่วมกันรับผิดต่อเจ้าของสินค้าในฐานะเป็นผู้ขนส่งร่วมกันโดยเป็นลูกหนี้ร่วมกันและต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน
แม้โจทก์ไม่ได้ระบุในคำฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมและจำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้ในคำให้การแจ้งชัดถึงเรื่องลูกหนี้ร่วมแต่โดยสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์บ่งระบุแจ้งชัดถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าเป็นเรื่องลูกหนี้ร่วมอยู่แล้ว การที่ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของสินค้าอย่างลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616ประกอบกับมาตรา 438 บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า ผู้ขนส่งต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดให้แก่เจ้าของสินค้าซึ่งเป็นผู้ส่งสำหรับสินค้าที่สูญหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดอยู่แล้ว ธรรมเนียมประเพณีการขนส่งที่ว่า เมื่อไม่ได้มีการตีราคาสินค้าไว้ก่อนว่าราคาเท่าใด ผู้ขนส่งไม่ควรต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเกินหีบห่อละ 500 บาทนั้น หามีผลลบล้างบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก ๐๖๗๙ ได้นำเข้าร่วมกิจการขนส่งกับโจทก์ โดยได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ใช้เลขประจำรถ ท.๓๒/๑๐๒๐ สำหรับใช้ขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ต่าง ๆ ในนามและตามคำสั่งของโจทก์ จากการท่าเรือแห่งประเทศไทยไปส่งยังสถานที่ในจังหวัดพระนครและธนบุรี เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ตัวแทนของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลขอนแก่นสโตร์ ได้ว่าจ้างโจทก์ให้ทำการขนสินค้าผ้าจากการท่าเรือกรุงเทพฯ ไปส่งที่บ้านเลขที่ ๑๖๓ ถนนสำเพ็ง อำเภอสัมพันธวงศ์ ในอัตราค่าจ้าง ๘๐ บาท เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้สั่งให้จำเลยนำรถคันดังกล่าวไปรับสินค้าผ้าและขนส่งตามที่ได้ตกลงรับจ้าง จำเลยได้สั่งให้นายเฮียง คำแก้ว ลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยไปรับสินค้าผ้ารวมจำนวน ๒๙ หีบ จากเจ้าหน้าที่ของการท่าเรือฯ เพื่อจัดส่งยังจุดหมายปลายทาง แต่ปรากฏว่าสินค้าผ้าที่ลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยรับขนส่งไม่ถึงที่ทำการห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลขอนแก่นสโตร์ติดตามพบแต่รถยนต์ไม่พบสินค้าผ้าที่บรรทุก นายเฮียงได้หลบหนีไปห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลขอนแก่นสโตร์ได้เรียกร้องให้โจทก์ชดใช้สินค้าผ้าที่สูญหายโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงจำต้องชดใช้ค่าสินค้าที่สูญหายและค่าเสียหายตามหลักฐานที่สอบแล้วจนเป็นที่เชื่อได้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๗๑,๘๗๗.๘๔ บาท ให้แก่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลขอนแก่นสโตร์ไป โจทก์ได้ทวงถามไปยังจำเลยอีกครั้งหนึ่งแต่จำเลยก็ยังเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่เดือนที่โจทก์ใช้เงินถึงวันฟ้อง ๘ เดือนเป็นเงิน ๑๘,๕๙๓.๘๙ บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๓๙๐,๔๗๑.๗๓ บาท และใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๓๗๑,๘๗๗.๘๔ บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยนำรถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์ฟ้องเข้าร่วมกิจการขนส่งกับโจทก์ รถคันดังกล่าวเป็นของบุคคลอื่น จำเลยประกอบกิจการค้าในนามของจำเลยเอง โจทก์กับจำเลยไม่มีหนังสือสัญญาต่อกัน โจทก์กับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กันตามกฎหมาย จำเลยได้รับจ้างขนสินค้าของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลขอนแก่นสโตร์จำนวน ๒๙ หีบจากการท่าเรือฯ ไปส่งบ้านเลขที่ ๑๖๓ ถนนสำเพ็ง เป็นสินค้าต่าง ๆหลายชนิดในอัตราค่าจ้าง ๘๐ บาท ไม่ได้ตีราคาทรัพย์สินที่รับขนและไม่ได้ระบุจำนวนทรัพย์สินในหีบห่อ ซึ่งตามปกติทางการค้าธุรกิจรับขน ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ เป็นที่เข้าใจและตกลงกันว่าจำเลยมีความรับผิดสำหรับความเสียหายไม่เกินชิ้นละ ๕๐๐ บาท ราคาสินค้าดังกล่าวสูงเกินความจริง โจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลขอนแก่นสโตร์ไม่มีนิติสัมพันธ์กัน การที่โจทก์สอดเข้าชำระเงินให้นั้นไม่ได้รับความรู้เห็นยินยอมจากจำเลย จะเรียกร้องจากจำเลยไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่โจทก์ฟ้องและได้นำรถบรรทุกคันที่กล่าวเข้าร่วมกิจการขนส่งกับโจทก์ โดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน แม้ไม่มีสัญญาต่อกัน โจทก์จำเลยจะต้องรับผิดร่วมกันต่อเจ้าของสินค้า เมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายให้เจ้าของสินค้าไปแล้วโจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๙(๓) ที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามมาตรา ๒๙๖ พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๑๙๕,๒๓๕ บาท ๘๗ สตางค์ และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน ๑๘๕,๙๓๘.๙๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จด้วย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหา
๑. ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์เต็มจำนวนตามฟ้อง เพราะโจทก์และจำเลยไม่ใช่ลูกหนี้ร่วมซึ่งจะต้องรับผิดร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๑๘ และมาตรา ๒๙๖ในประเด็นข้อนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยเข้าร่วมกันประกอบกิจการขนส่ง โดยจำเลยกระทำในนามและตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ขนส่งจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยแต่ผู้เดียวโดยโจทก์หักค่าขนส่งไว้ร้อยละ ๑๒ ของค่าบรรทุกและค่าผ่านประตูเที่ยวละ ๒ บาท ค่าขนส่งที่เหลือโจทก์จ่ายให้จำเลย ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยมีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบกิจการขนส่ง เมื่อสินค้าผ้าที่โจทก์จำเลยได้รับมอบหมายให้ขนส่งจากเจ้าของสินค้าผ้าผู้ส่งนั้นสูญหายไป เพราะความผิดของลูกจ้างจำเลย ทั้งโจทก์กับจำเลยก็ต้องร่วมกันรับผิดต่อเจ้าของสินค้าผ้าผู้ส่งในฐานะที่เป็นผู้ขนส่งร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๑๖ และความรับผิดในระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้น ทั้งโจทก์ทั้งจำเลยต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามบทบัญญัติมาตรา ๒๙๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์กับจำเลยไม่ได้แบ่งผลประโยชน์จากค่าขนส่งคนละส่วนเท่า ๆ กันส่วนแห่งความรับผิดก็ไม่ควรเท่ากัน นั้น เห็นว่า เหตุดังกล่าวหาทำให้ส่วนแห่งความรับผิดตามบทบัญญัติมาตรานี้เปลี่ยนแปลงไปไม่ เพราะการที่ส่วนแห่งความรับผิดของลูกหนี้ร่วมจะไม่เท่ากันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๖ นั้น มีอยู่เพียงกรณีเดียวคือ เมื่อมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นเท่านั้น ดังนั้น โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายได้เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น
๒. ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมและจำเลยก็มิได้ปฏิเสธความรับผิดว่าไม่ต้องรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมการที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยต้องรับผิดร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๖ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่าจริงอยู่ที่โจทก์ไม่ได้ระบุในคำฟ้อง และจำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้ในคำให้การแจ้งชัดถึงเรื่องลูกหนี้ร่วมแต่โดยสภาพแห่งข้อหาในฟ้องของโจทก์บ่งระบุแจ้งชัดถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าเป็นเรื่องลูกหนี้ร่วมอยู่แล้ว ดังนั้น การที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยต้องร่วมกันรับผิดต่อเจ้าของสินค้าผ้าอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา ๒๙๖ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น จึงเป็นการชอบและไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่ประการใด
๓. ที่จำเลยฎีกาว่าตามธรรมเนียมประเพณีในการขนส่งนั้น เมื่อไม่ได้มีการตีราคาสินค้าไว้ก่อนว่าราคาเท่าใด จำเลยไม่ควรต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเกินหีบห่อละ ๕๐๐ บาท จึงรวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้โจทก์ทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๔,๕๐๐ บาท นอกจากนั้นจำเลยก็ได้ค่าจ้างขนส่งเพียงเที่ยวละ ๘๐ บาท นั้น เห็นว่า บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๑๖ ประกอบกับมาตรา ๔๓๘ นั้น บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า ผู้ขนส่งต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดให้แก่เจ้าของสินค้าซึ่งเป็นผู้ส่งสำหรับสินค้าที่สูญหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดอยู่แล้ว ดังนั้น แม้ว่าจะมีธรรมเนียมประเพณีการขนส่งที่จำเลยอ้างนั้นจริง ก็หามีผลลบล้างบทบัญญัติดังกล่าวของกฎหมายไม่
พิพากษายืน

Share