คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 993/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขอออกโฉนดที่พิพาท จำเลยซึ่งครอบครองที่พิพาทอยู่คัดค้านว่าเป็นที่ของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินทำการเปรียบเทียบแต่ตกลงกันไม่ได้ จึงสั่งให้โจทก์ไปฟ้องต่อศาลภายใน 60 วัน ต่อมาโจทก์ได้มาฟ้องคดีเอาคืนการครอบครอง แต่พ้นเวลา 1 ปีนับแต่จำเลยคัดค้าน ดังนี้ โจทก์หมดสิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแล้ว เพราะการนับระยะเวลาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น นับแต่เวลาที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครอง คือนับแต่วันที่จำเลยคัดค้านอันแสดงว่าจำเลยโต้แย้งโดยเปิดเผยต่อโจทก์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาท ไม่ใช่วันที่เจ้าพนักงานทำการเปรียบเทียบ กรณีไม่เข้าประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60

ย่อยาว

คดี ๕ สำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกเป็นจำเลยที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ เรียงตามสำนวน คำฟ้องบรรยายเป็นใจความตรงกันว่าโจทก์มีที่ดิน น.ส. ๓ แปลงหนึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โจทก์ได้จัดสรรขายเป็นแปลง ๆ สำหรับด้านที่ติดถนนสายอุดร – ขอนแก่น เดิมทางหลวงแผ่นดินกำหนดเขตข้างทางไว้ข้างละ ๓๐ เมตร โจทก์จึงได้กันที่ดินด้านนี้ไว้เพื่อรอการเวนคืนเป็นเขตข้างทาง จำเลยทั้ง ๕ ได้ซื้อที่ดินของโจทก์ที่แบ่งขายด้านติดทางหลวงนี้คนละแปลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ต่อมาอีกหลายปีกรมทางหลวงได้กำหนดให้ลดเขตข้างทางให้เหลือข้างละ ๑๕ เมตร ที่ดินที่กันไว้เพื่อรอการเวนคืนจึงเหลือ คือส่วนที่ติดที่ดินของจำเลยทั้ง ๕ นี้ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินส่วนนี้โดยแบ่งออกเป็น ๕ แปลง ปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้อง แต่เมื่อโจทก์นำเจ้าหน้าที่รังวัดปักเขตที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้ง ๕ คัดค้านว่าที่ดินดังกล่าวแต่ละแปลงเป็นของจำเลยแต่ละคนจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้ง ๕ ให้การเป็นในความอย่างเดียวกันว่า ที่พิพาทตามฟ้องแต่ละสำนวนเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยแต่ละคน ซึ่งได้ซื้อโดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาโดยโจทก์ไม่คัดค้านแต่ประการใด แม้จะฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ได้สละสิทธิครอบครองมาหลายปีแล้ว โจทก์มิได้ฟ้องภายใน ๑ ปี คดีขาดอายุความ
ชั้นพิจารณาโจทก์และจำเลยทั้ง ๕ แถลงรับกันว่า โจทก์นำรังวัดที่พิพาททั้ง ๕ แปลง เพื่อขอออกโฉนด เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๗ จำเลยทั้ง ๕ คัดค้านในวันเดียวกันนั้นเองว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแต่ละสำนวนคนละ ๑ แปลง เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๙ เจ้าพนักงานที่ดินเรียกโจทก์และจำเลยทั้ง ๕ ไปไกล่เกลี่ยเปรียบเทียบ แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงสั่งให้โจทก์ฟ้องคดีภายใน ๓๐ วัน โจทก์จำเลยตกลงกันท้าให้ศาลวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ยังไม่เกินเวลาที่กฎหมายกำหนดจำเลยยอมแพ้ แต่ถ้าศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องเกิดเวลาที่กฎหมายกำหนดโจทก์ยอมแพ้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนการครอบครองเกิน ๑ ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้ง ๕ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้ง ๕ สำนวนฎีกาว่ากรณีพิพาทของโจทก์กับจำเลยทั้ง ๕ เป็นเรื่องขอออกโฉนดที่ดิน มิใช่เป็นการโต้แย้งเอาคืนการครอบครองทั่วๆ ไป จึงต้องเอาประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๖๐ มาปรับคดี เมื่อมีการไกล่เกลี่ยของเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว อายุความในการฟ้องเรียกคืนการครอบครองจึงควรเริ่มนับเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไกล่เกลี่ยเสร็จ ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องไม่เกนิ ๑ ปี จำเลยทั้ง. ๕ ต้องแพ้คดีตามคำท้า
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามฟ้องทุกสำนวนเป็นที่ดินมือเปล่าอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้ง ๕ โดยจำเลยทั้ง ๕ ได้โต้แย้งแย่งสิทธิแสดงตนต่อโจทก์ว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินนี้มาตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๗ เป็นอย่างน้อย เจ้าพนักงานที่ดินได้ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทเกี่ยวกับที่ดินนี้ระหว่างโ๗ทก์กับจำเลยทั้งห้าแล้วมีคำสั่งให้โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๙ โจทก์ฟ้องคดีทั้ง ๕ สำนวนนี้เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๑๙
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การนับระยะเวลาฟ้องเอาคืนการครอบครองจะต้องเริ่มตั้งแต่วันที่จำเลยทั้ง ๕ แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ หรือจะต้องเริ่มตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานที่ดินไกล่เกลี่ย
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองจากผุ้ที่โจทก์กล่าวหาว่าได้แย่งการครอบครองของโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ บัญญัติบังคับไว้ให้ฟ้องภายในเวลา ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ ที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในฎีกา เป็นบทบัญญัติให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานที่ดินที่จะสอบสวนเปรียบเทียบในกรณีมีการโต้แย้งสิทธิกันในการออกโฉนดที่ดินและเมื่อผุ้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นแจ้งให้คู่กรณีทราบแล้ว ให้ฝ่ายที่ไม่พอใจไปดำเนินการฟ้องหรือร้องต่อศาลภายในกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง หาเกี่ยวกับกำหนดเวลาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองดังเช่นคดีนี้ไม่ นับตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๗ อันเป็นวันที่โจทก์รับว่าจำเลยทั้งห้าโต้แย้งโดยเปิดเผยต่อโจทก์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาท ถึงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๑๙ อันเป็นวันโจทก์ฟ้องคดีทั้ง ๕ สำนวนนี้เกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์จึงต้องแพ้คดีจำเลยทั้ง ๕ ตามคำท้า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share