คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 993/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้จำเลยโอนขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมี น.ส. 3 ให้ผู้ร้องแล้ว แม้จำเลยจะยังครอบครองที่พิพาทอยู่และยังไม่ได้แก้ทะเบียนโอนให้แก่ผู้ร้อง โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เงินกู้และเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมก็ไม่อาจบังคับคดียึดที่ดินพิพาทอันเป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 เพราะผู้ร้องอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนตามคำพิพากษาได้อยู่ก่อนแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และโจทก์ไม่อาจอ้างสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้นมาลบล้างสิทธิของผู้ร้องเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้ได้ ผู้ร้องจึงไม่จำต้องฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเสียก่อนมาร้องขอให้ปล่อยที่พิพาท

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินตาม น.ส. ๓ เล่ม ๔ หน้า ๔๐ เพื่อขายทอดตลาด โดยโจทก์นำยึดอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ดินนี้เป็นของผู้ร้อง ซึ่งศาลได้พิพากษาให้จำเลยโอนขายให้ผู้ร้องแล้วตามคดีแดงที่ ๖๗/๒๕๐๙ ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือกว่าโจทก์ โจทก์กับจำเลยมิได้มีหนี้สินกันจริงตามฟ้อง ได้ยอมความกันมีเจตนาจะไม่ให้ผู้ร้องได้สิทธิในที่ดินนั้น ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญายอมความระหว่างโจทก์จำเลย และขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามทะเบียนอยู่ ยังมิได้ซื้อขายให้ผู้ใดจำเลยจะมีข้อตกลงและข้อพิพาทอื่นใดกับผู้ร้องโจทก์ไม่ทราบ และไม่มีผลบังคับถึงโจทก์ผู้เป็นบุคคลภายนอกซึ่งใช้สิทธิโดยสุจริต ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญายอมความในคดีนี้
จำเลยให้การว่า จำเลยยังมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามทะเบียนสิทธิอยู่ ยังไม่ได้ทำสัญญาขายให้ผู้ร้อง
ในวันนัดสืบพยาน คู่ความแถลงรับกันว่า ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วให้จำเลยโอนขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องจริง
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้วสั่งว่า ตามคำพิพากษาดังกล่าวบังคับให้จำเลยโอนขายที่พิพาทให้ผู้ร้องเท่านั้น ไม่ได้พิพากษาว่าที่ดินเป็นสิทธิของผู้ร้อง และจำเลยยังไม่ได้โอนที่พิพาทให้ผู้ร้อง ที่พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ โจทก์มีสิทธิยึดขายทอดตลาด ส่วนที่ผู้ร้องว่าโจทก์จำเลยเป็นหนี้กันโดยสมยอม ขอให้เพิกถอนสัญญายอมนั้นผู้ร้องจะต้องทำเป็นคำฟ้องจะทำเป็นคำร้องไม่ได้ พิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะทำเป็นคำฟ้องเข้ามาใหม่
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีสิทธิที่จะได้รับโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของผู้ร้องตามคำพิพากษาอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนแล้ว โจทก์จะบังคับคดีให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องไม่ได้พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินพิพาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าโจทก์จะบังคับคดีแก่ที่ดินพิพาทที่มีคำพิพากษาให้จำเลยโอนขายให้ผู้ร้องแล้วแต่จำเลยยังครอบครองและมีชื่อถือสิทธิครอบครองทางทะเบียนอยู่ได้หรือไม่นั้นเห็นว่า ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้จำเลยโอนขายที่พิพาทให้ผู้ร้องแล้ว แม้จำเลยยังครอบครองอยู่ และยังไม่ได้แก้ทะเบียนโอนสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) มาเป็นชื่อผู้ร้อง ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนตามคำพิพากษาได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ แล้ว แม้ที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ โจทก์ก็จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทอันเป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗
ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้ฟ้องให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ จึงไม่มีสิทธิมาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทนั้น เห็นว่าคดีในชั้นนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องร้องขอให้ปล่อยทรัพย์โดยอ้างว่าผู้ร้องมีสิทธิดีกว่าโจทก์ในอันที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินนั้น ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นเรื่องหนี้เงินกู้ซึ่งต่อมาได้ยอมความกัน จะเกิดขึ้นโดยการสมยอมกันระหว่างโจทก์หรือจำเลยหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่อง ถึงอย่างไรโจทก์ก็ไม่อาจอ้างสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นมาลบล้างสิทธิของผู้ร้องเกี่ยวกับทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องจึงไม่จำต้องฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเสียก่อนที่จะมาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์รายนี้
พิพากษายืน

Share