แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทวงหนี้เก่า จำเลยบอกให้โจทก์ส่งเก้าอี้ที่สั่งซื้อใหม่ไปให้จำเลย จำเลยจะชำระเงินที่ค้างให้ อันเป็นการผัดชำระหนี้ด้วยวาจา ยังไม่เป็นการรับสภาพหนี้
การที่จำเลยพูดขอผัดชำระหนี้ต่อโจทก์ด้วยวาจา ไม่เป็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้อง แต่เมื่อฟังว่าจำเลยได้ใช้เงินให้บางส่วนแล้ว ก็ถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของร้านแสงสวัสดิ์เฟอร์นิเจอร์วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๐๖ จำเลยซื้อเตียงนอน ฯลฯ รวมราคา ๓,๘๐๐ บาทไปจากโจทก์ ต่อมาวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๐๖ จำเลยซื้อเก้าอี้ไปจากโจทก์อีก ๖ ตัวเป็นเงิน ๓๔๔ บาท รวม ๒ ครั้ง เป็นเงิน ๔,๑๔๔ บาท วันซื้อครั้งแรกจำเลยเซ็นชื่อในหนังสือสัญญาซื้อขาย ขอผ่อนชำระราคาและครั้งหลังจำเลยรับจะชำระราคาพร้อมกับครั้งแรก จำเลยไม่ชำระราคาให้โจทก์เลย จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า หนี้ตามเอกสาร จ.๑ จำนวน ๓,๘๐๐ บาท ขาดอายุความ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์นำสืบรับเข้ามาว่า จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ๒๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓,๙๔๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นด้วยกับจำเลยที่ว่า การที่จำเลยซื้อของในคราวหลังโจทก์ทวงหนี้เก่าจำเลยขอผัดชำระหนี้พร้อมกับผัดชำระหนี้ตามเอกสารจ.๒ เห็นว่า เป็นการผัดชำระหนี้ด้วยวาจา จึงมิใช่การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ เพราะถ้าถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้แล้ว ข้อความตอนดังที่บัญญัติว่า ได้ทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ก็ดี ชำระหนี้บางส่วนก็ดี การส่งดอกเบี้ยก็ดี หรือด้วยการให้ประกันก็ดี ก็จะไม่มีผลอะไร การที่จำเลยพูดขอผัดชำระหนี้ด้วยวาจาไม่เป็นการกระทำที่รับสภาพหนี้ค้างชำระโดยปราศจากเคลือบคลุมสงสัยแต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อพฤษภาคม ๒๕๐๖ เป็นเงิน ๑๐๐ บาท และเมื่อนายพิง (ที่โจทก์ให้ไปทวงเงินจำเลย) นำเก้าอี้ที่จำเลยสั่งซื้อครั้งหลังไปส่ง จำเลยมอบเงินให้นายพิงอีก ๑๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ โดยได้ใช้เงินให้โจทก์บางส่วนแล้ว ซึ่งนับแต่วันที่จำเลยได้ใช้เงินให้โจทก์ครั้งหลังจนถึงวันฟ้อง คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน