แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่โจทก์จำเลยและคนอื่นเป็นเจ้าของกรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกัน ต่างเป็นเจ้าของที่ดินมีส่วนเท่ากันทุกคนนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยโดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยบังอาจเข้าทำนาในที่ดินส่วนของโจทก์เสียทั้งหมด จึงเรียกค่าเสียหายกล่าวเพียงเท่านี้ จำเลยย่อมเข้าใจได้ดีว่าโจทก์หมายความว่า จำเลยบุกรุกแย่งที่ดินซึ่งเป็นส่วนขอโจทก์แม้ไม่บอกเขตต์ติดต่อว่าอยู่ตรงไหนอย่างใด ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยนางแสง นางไล นายหนู นายแจถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกันตามโฉนดที่ ๒๒๘๓ เนื้อที่ ๒๑๑ ไร่ ๓๒ วา ต่างเป็นเจ้าของเนื้อที่ดินคนละ ๓๕ ไร่ ๓๒ วา ทุกคนได้แบ่งเนื้อที่กันทำนาคนละเท่า ๆ กัน แล้วจำเลยได้บังอาจเข้าแย่งทำนาในที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าวเนื้อที่ ๓๕ ไร่เศษ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาหลายข้อ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ข้อเดียวว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องโจทก์ จำเลยย่อมเข้าใจได้ดีว่าโจทก์ หมายความว่าจำเลยเข้าบุกรุกแย่งที่ดินซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ ไม่ต้องบอกเขตต์ติดต่อว่าอยู่ตรงไหนอย่างใดเพราะโจทก์จำเลยไม่ใช่คนอื่น เป็นผู้มีชื่อในโฉนดถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกัน ย่อมรู้ได้ดีแล้วว่าที่ดินของโจทก์อยู่ตรงไหนในคำให้การต่อสู้คดีของจำเลย ก็รับอยู่ว่าโจทก์และจำเลยกับคนอื่นที่มีกรรมสิทธิ์ต่างถือสิทธิทำกินทำนามาจนบัดนี้ จึงเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จึงพิพากษายืน