คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนนายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ ดังนั้นความผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นความผูกพันในฐานะตัวการกับตัวแทน ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30 เมื่อโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยเกินจำนวนที่จำเลยสั่งให้ขายก็เป็นการกระทำที่อยู่ในฐานะของตัวแทนของจำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด 10 ปี จึงยังไม่ขาดอายุความ
จำเลยสั่งให้โจทก์ขายหุ้นเพียง 10,000 หุ้น แต่โจทก์ขายหุ้นไปจำนวน 20,000 หุ้น และส่งมอบเงินที่ขายได้ทั้งหมดจำนวน 502,475 บาท ให้แก่จำเลย จึงมียอดเงินที่จำเลยรับไว้เกินเป็นจำนวน 251,237.50 บาท จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๔๘๔,๖๘๖.๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๕๓,๗๖๒.๕๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ จำเลยไม่ได้สั่งให้โจทก์ขายหลักทรัพย์จำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น โจทก์ขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเพียง ๑๐,๐๐๐ หุ้น เท่านั้น หลักทรัพย์จำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น ที่โจทก์นำออกขายด้วยความผิดพลาดของพนักงานโจทก์และได้ส่งมอบเงินที่ขายได้ให้จำเลยเพื่อชำระหนี้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จำเลยได้รับไว้โดยสุจริต โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าว คือวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๐ โจทก์ชอบที่จะเรียกเงินคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยภายใน ๑ ปี คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระงินจำนวน ๒๕๓,๗๖๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๖ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒๕๓,๗๖๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า โจทก์ประกอบกิจการเป็นนายหน้าตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ จำเลยแต่งตั้งโจทก์เป็นนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๖ จำเลยได้สั่งให้โจทก์ขายหุ้นบริษัทกรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (BKP) โจทก์ได้ดำเนินการขายหุ้นบริษัทดังกล่าวจำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น ได้เงิน ๕๐๒,๔๗๕ บาท ซึ่งโจทก์ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยรวมกับราคาหุ้นรายอื่นด้วย จำนวน ๘๒๕,๘๕๐ บาท ให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยได้เบิกเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว และได้ส่งมอบหุ้นบริษัทกรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (BKP) จำนวน ๑๐,๐๐๐ หุ้น ให้แก่โจทก์ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยสั่งให้โจทก์ขายหุ้นจำนวน ๑๐,๐๐๐ หุ้น มิใช่ ๒๐,๐๐๐ หุ้น ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ในประเด็นนี้ โจทก์นำนางสาวปริญดา แซ่ยิ้ว กับนางสาวโสภิณ วิโรจน์ศิริชัย เบิกความว่า จำเลยเป็นผู้สั่งให้โจทก์ขายหุ้นของจำเลยจำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น แต่นางสาวปริญดา เบิกความว่าขณะที่ซื้อขายหุ้นคดีนี้ ตนยังไม่ได้เข้ามาทำงานกับโจทก์ แต่ที่ทราบเรื่องนี้เพราะทราบจากการตรวจดูเอกสาร พยานปากนี้ของโจทก์จึงมิใช่ประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ในการสั่งให้ซื้อขายหุ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ส่วนนางสาวโสภิณก็เบิกความว่าทราบเรื่องนี้จากเพื่อนร่วมงานไม่มีส่วนรู้เห็นในขณะที่มีการสั่งซื้อขายหุ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์คงมีแต่หนังสือสัญญาตัวแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มาแสดง ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่าได้ทำสัญญาจริง คดีจึงคงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยได้มอบหมายให้โจทก์เป็นตัวแทนขายหุ้น ในวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๖ โจทก์ได้ขายหุ้นแทนจำเลยและโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยจำนวน ๘๒๕,๘๕๐ บาท เท่านั้น แต่พยานโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยสั่งให้ขายหุ้นจำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น หรือเพียง ๑๐,๐๐๐ หุ้น ตามที่จำเลยอ้างนั้น พยานบุคคลที่โจทก์นำสืบเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่มีการสั่งให้ขายหุ้น จึงรับฟังเป็นพยานไม่ได้ ประกอบกับจำเลยก็ให้การปฏิเสธว่าสั่งให้โจทก์ขายหุ้นเพียง ๑๐,๐๐๐ หุ้น เท่านั้น เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ในประเด็นนี้แต่โจทก์สืบไม่สม ทั้งหลังทำสัญญาขายหุ้นแล้วโจทก์ก็ไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบหุ้นจำนวน ๑๐,๐๐๐ หุ้น ที่ยังขาดอยู่ให้ครบถ้วนตามที่ตกลงไว้ในสัญญาตัวแทนและหรือนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โจทก์เพิ่งมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ หลังจากทำสัญญาขายหุ้นแล้วถึง ๔ ปี พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ขายหุ้นจำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น คงฟังได้แต่เพียงเท่าที่จำเลยรับว่าสั่งให้โจทก์ขายเพียง ๑๐,๐๐๐ หุ้น เท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ขายหุ้นบริษัทกรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (BKP) จำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบหุ้นอีกจำนวน ๑๐,๐๐๐ หุ้น ให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้อต่อไปของจำเลยที่ว่าคดีขาดอายุความแล้ว เนื่องจากเป็นเรื่องลาภมิควรได้ มิใช่เรื่องตัวแทนนั้น เห็นว่า จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนนายหน้า ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ดังนั้นความผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นความผูกพันในฐานะตัวการกับตัวแทน ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ เมื่อโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยเกินจำนวนที่จำเลยสั่งให้ขายก็เป็นการกระทำที่อยู่ในฐานะของตัวแทนของจำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด ๑๐ ปี จึงยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ตัวแทนขายหุ้นเพียง ๑๐,๐๐๐ หุ้น แต่โจทก์ขายหุ้นไปจำนวน ๒๐,๐๐๐ หุ้น และส่งมอบเงินที่ขายได้ทั้งหมดจำนวน ๕๐๒,๔๗๕ บาท ให้แก่จำเลย จึงมียอดเงินที่จำเลยรับไว้เกินเป็นจำนวน ๒๕๑,๒๓๗.๕๐ บาท จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินรับชำระไว้เกิน ๒๕๑,๒๓๗.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

นายอนันต์ วงษ์ประภารัตน์ ผู้ช่วยฯ
นายเจษฎา ชุมเปีย ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายชัยรัตน์ เบ็ญจะมโน ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share