คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงิน 199,761.64 บาท จึงมีทุนทรัพย์ชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้แต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาลูกแก มีอำนาจให้กู้ยืมเงินได้โดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท และจะต้องทำตามแบบและระเบียบปฏิบัติของโจทก์ แต่จำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อ โดยเมื่อวันที่ 6มิถุนายน 2523 ขณะจำเลยเป็นผู้จัดการดังกล่าวได้อนุมัติให้นายสุวรรณ ศิริเรือง กู้ยืมเงินในวงเงิน 300,000 บาท ตามสัญญากู้เลขที่ 06/23 มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาโดยมีนายทินกรมั่นคงเจริญ เป็นผู้ค้ำประกัน โดยมีสมุดเงินฝากประจำเลขที่ 1383ค้ำประกันไว้แต่มิได้มอบสมุดคู่ฝากไว้ และได้นำที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 267 ตำบลหนองโรง อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ของนายสมบัติ ทับทิมใส จำนองเป็นประกันไว้ในวงเงิน 100,000 บาทต่อมานายสุวรรณลูกหนี้ถึงแก่กรรม แต่จำเลยมิได้จัดการฟ้องทายาทของนายสุวรรณให้รับผิด ทำให้คดีขาดอายุความเป็นเหตุให้ธนาคารโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย 304,755.55 บาทต่อมาโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยจัดการแก้ไขความเสียหายจำนวนนี้ซึ่งเป็นหนี้เงินต้น 251,226.61 บาท และดอกเบี้ย 140,955.87 บาท จำเลยได้เข้าจัดการแก้ไขโดยได้ให้นายสมบัติทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารโจทก์ สาขาลูกแก เป็นเงิน 130,000 บาท แล้วนำเงินจำนวนนี้มาชำระเฉพาะดอกเบี้ย และได้ให้นายทินกรนำเงินสดจำนวน 20,000 บาทมาชำระหนี้ โดยนำหักชำระกับดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำหักกับเงินต้น คงเหลือเงินต้นเป็นเงิน 249,543.75 บาท และได้ให้นายประเสริฐ ศิริเรือง ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารโจทก์ สาขาลูกแกเป็นเงิน 65,797.22 บาท นำเงินมาหักกับต้นเงินที่ค้างอยู่ดังกล่าวข้างต้น จึงเหลือยอดเงินที่ไม่ชำระอยู่ 183,746.53 บาท โดยเงินจำนวนนี้จำเลยยอมรับผิดชำระให้แก่โจทก์ในจำนวนเงิน 170,000 บาทภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2527 เป็นต้นไป แต่จำเลยผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 205,491.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 170,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 170,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระโจทก์เสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 35,491.68 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่1 มิถุนายน 2528 จนถึงวันฟ้องคือวันที่ 30 กันยายน 2530 คิดเป็นเวลา2 ปี 122 วัน คิดเป็นดอกเบี้ย 29,761.64 บาท รวมเป็นเงิน 199,761.64บาท จึงมีทุนทรัพย์ชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของจำเลยว่าจำเลยไม่ได้กระทำประมาทเลินเล่อต่อโจทก์ และไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่แก้ไขใหม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยจึงไม่ถูกต้องศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share