คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ส่วนห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้า และจำเลยได้ประกอบการค้าอะไร มีสภาพอย่างใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเช่าตึกพิพาทเพื่อประกอบการค้า อัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายบอกเลิกสัญญาเช่า ให้จำเลยส่งมอบตึกพิพาทภายในกำหนด จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลขับไล่จำเลยทั้งสองกับบริวาร

จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่รับรองสัญญาเช่าท้ายฟ้องโจทก์ห้องพิพาทมิได้อยู่ในทำเลการค้า จำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ ค้าขายบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน โจทก์ไม่เคยบอกเลิกการเช่าและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวาร

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และเห็นว่าข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ปรากฏว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าซึ่งมีอัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน คงฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาว่า ห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้า จำเลยเช่าโดยทราบเจตนาของโจทก์ว่าให้เช่าเพื่อประกอบการค้าจำเลยได้จดทะเบียนการค้าและทำการค้าในห้องพิพาท ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยใช้ห้องพิพาททำการค้าหาประโยชน์ จึงมิใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้า เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ส่วนห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้าและจำเลยได้ประกอบการค้าอะไร มีสภาพอย่างใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่

ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาคัดค้านว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ปรากฏว่าฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ก็เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ ต้องห้าม ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยพิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share