คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายแม้จะมีกฎหมายบัญญัติให้เลิกกันเพราะเหตุล้มละลาย แต่เมื่อภายหลังศาลได้มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายนั้นเสียแล้ว ก็ย่อมกลับมีสภาพเป็นนิติบุคคลดังเดิมมีอำนาจฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานะที่โจทก์ที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และโจทก์ที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนในห้างโจทก์ที่ ๑
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ ซึ่งยังไม่มีปัญหาและว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ที่ ๑ ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายสิ้นสภาพนิติบุคคลไปแล้ว แม้ภายหลังศาลจะได้ยกเลิกการล้มละลายก็ไม่กลับทำให้โจทก์มีสภาพเป็นนิติบุคคลอีก และโจทก์ที่ ๒ เป็นหุ้นส่วน ไม่มีสิทธิหรืออำนาจฟ้องเป็นส่วนตัว
ในวันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโจทก์ที่ ๑ และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อมาได้มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายนั้น
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยเห็นควรวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาที่ว่าโจทก์ที่ ๑ ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลาย เพราะเหตุที่โจทก์ในคดีล้มละลายไม่วางเงินประกันและไม่มีเจ้าหนี้อื่นเข้าชำระแทนจะทำให้ห้างโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเลิกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๖๙ มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้หรือไม่ และโจทก์ที่ ๒ ในฐานะส่วนตัวผู้เป็นหุ้นส่วน มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำสั่งยกเลิกการล้มละลายหาเป็นผลทำให้ห้างโจทก์ที่ ๑ ที่เลิกกันไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๖๙, ๑๐๘๐ กลับคืนสภาพปกติต่อไปอีกไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้มีบทบัญญัติให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่เลิกกันเมื่อห้างล้มละลายจะกลับเป็นไม่ต้องเลิกเพราะเหตุที่ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายได้อีก การดำเนินการของห้างโจทก์เมื่อเลิกก็ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๒๔๗, ๑๒๕๙ โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ ในฐานะส่วนตัวผู้เป็นหุ้นส่วนหามีอำนาจฟ้องจำเลยไม่ ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ที่ ๑ กลับมีสภาพเป็นนิติบุคคลดังเดิมมีอำนาจฟ้องได้ ส่วนโจทก์ที่ ๒ ไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับหนี้สินของโจทก์ที่ ๑ พิพากษาแก้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๑ เป็นโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๕ บัญญัติให้อำนาจศาลยกเลิกการล้มละลายได้ ซึ่งเมื่อศาลได้มีคำสั่งแล้ว คดีล้มละลายนั้นก็เป็นอันยกเลิกไป มีผลให้ผู้ล้มละลายสามารถจัดการทรัพย์สินได้ด้วยตนเอง ในกรณีที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน จะสามารถจัดการทรัพย์สินของตนเองได้ก็ต้องกลับมีสภาพนิติบุคคลเช่นเดิม ซึ่งเกิดขึ้นโดยผลของคำสั่งศาลที่ให้ยกเลิกการล้มละลายนั้นเอง แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๖๙ บัญญัติให้ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนเลิกกันเมื่อห้างล้มละลาย แต่มาตรา ๑๒๔๗ ก็บัญญัติว่า การชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนซึ่งล้มละลายให้เป็นไปตามกฎหมายลักษณะล้มละลาย และพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๕ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำขอต่อศาลให้ยกเลิกการล้มละลายได้และมาตรา ๑๓๖ ยังบัญญัติว่าคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา ๑๓๕(๑) (๒) ไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินแต่อย่างใด กรณีของโจทก์ที่ ๑ อยู่ในบังคับตามมาตรา ๑๓๕(๑) คือเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไม่วางเงินค่าใช้จ่ายตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกร้องและไม่มีเจ้าหนี้อื่นสามารถวางเงินได้ เมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของโจทก์ที่ ๑ แล้วเจ้าหนี้ก็ยังเรียกร้องหนี้สินจากโจทก์ที่ ๑ ได้อีก หากถือว่าโจทก์ที่ ๑ สิ้นสภาพไม่เป็นนิติบุคคลแล้ว ก็ไม่มีตัวตนลูกหนี้ที่เจ้าหนี้จะบังคับเรียกร้องหนี้สินได้ ซึ่งเป็นการขัดกับบทมาตราดังกล่าว และเมื่อมีบทบังคับให้โจทก์ที่ ๑ ต้องชดใช้หนี้สินแก่บรรดาเจ้าหนี้อยู่อีกเหตุใดจะตัดสิทธิมิให้โจทก์บังคับหนี้สินเอาแก่ลูกหนี้ของโจทก์ได้ด้วยและถ้าพิจารณาต่อไปถึงความในมาตรา ๑๓๕(๓) และ (๔) จะเห็นได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายแล้ว ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินไปทั้งหมดกลับมีสภาพเช่นเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ โจทก์ที่ ๑ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา ๑๓๕(๑) ก็ย่อมกลับมีสภาพดังเดิมได้เช่นเดียวกันศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ที่ ๑ กลับมีสภาพเป็นนิติบุคคลมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
พิพากษายืน

Share