คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่าจำเลยได้แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานโดยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จหรือไม่ ซึ่งจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามพะยานหลักฐานนั้น ไม่เป็นปัญหาข้อกฏหมาย. การวินิจฉัยปัญหาข้อกฏหมายศาลฎีกาจะต้องฟัง
ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพะยานหลักฐานในสำนวน.

ย่อยาว

ได้ความว่าจำเลยขอให้คณะกรมการอำเภอคัดค้านว่าเป็นของเด็กที่โจทก์ปกครองอำเภอสั่งให้โจทก์ฟ้องภายใน ๑๕ วัน โจทก์ได้ยื่นฟ้องภายในกำหนด แต่มิได้แจ้งให้อำเภอทราบ พอครบกำหนดจำเลยไปขอให้อำเภอทำสัญญาซือขายที่โดยปิดบังมิให้ทราบว่าโจทก์ฟ้องจำเลยแล้ว อำเภอจึงทำสัญญาให้ผู้ซื้อไป ในสัญญาซื้อขายซึ่งเป็นแบบพิมพ์มีใจความว่า ถ้าสืบไปเมื่อหน้าผู้ขายกลับคืนถ้อยคำว่ามิได้ขายที่รายนี้ให้แก่ผู้ซื้อก็ดี หรือว่าที่รายนี้ได้ขายหรือจำนองหรือยกให้ผู้ใดแล้ว หรือเป็นที่ในระหว่างคดีประการใดก็ดี ก็ให้ฟ้องร้องให้ศาลตัดสินลงโทษข้าพเจ้าตามกฏหมาย โจทก์เสียหาย จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๘ ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความดังกล่าวนี้เป็นแบบพิมพ์ซึ่งกรอกลงไปแล้วอ่านให้คู่สัญญาฟัง ไม่ปรากฏว่าในการขอให้ทำสัญญาจำเลยได้กล่าวข้อความที่รับรองว่าไม่เป็นที่ระหว่างคดี คดีไม่มีมูลฐานแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้อง.
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าเมื่อเสมียนอำเภออ่านสัญญาซื้อขายให้จำเลยฟังและจำเลยรับว่าถูกต้องแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นถ้อยคำของจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์จะฎีกาได้ฉะเพาะข้อกฏหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฏหมายจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพะยานหลักฐานในสำนวน ปัญหาในคดีนี้มีว่าจำเลยได้แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานโดยรู้ว่าเป็นความเท็จหรือไม่ ซึ่งจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพะยานหลักฐาน ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่เป็นปัญหากฏหมายอย่างไร จึงพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์.

Share