แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยฆ่า ย. เพราะจำเลยเข้าใจว่า ย. พูดถ้อยคำส่อเสียดล่วงเกินทางเพศกับ ล. ภริยาจำเลยทั้ง ๆ ที่จำเลยกับ ล. มีเจตนาดีต่อผู้เสียหาย จำเลยจึงโกรธและกลับไปนำอาวุธมีดง้าวมากระทำผิดโดยมีช่วงระยะเวลาห่างกันเพียงประมาณ 5 นาที เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกระชั้นชิด มิได้มีช่วงระยะเวลาขาดตอนอันจะทำให้จำเลยมีโอกาสใช้เวลาใคร่ครวญไตร่ตรองแล้วจึงก่อเหตุขึ้น ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีด 1 เล่ม ซึ่งตระเตรียมมาเป็นอาวุธฆ่านายยอดชาย ผิวขาวปลั่ง ผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยใช้มีดฟันผู้เสียหายที่บริเวณลำคอและร่างกายหลายครั้ง จำเลยลงมือกระทำการไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะผู้เสียหายยกแขนขึ้นป้องกัน เป็นเหตุให้จำเลยฟันถูกข้อมือขวาของผู้เสียหายเกือบขาดไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 80 และนับโทษจำเลยต่อ
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 80 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบด้วยมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3353/2542 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 12 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2542 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา นายยอดชายผิวขาวปลั่ง ผู้เสียหาย ยืนคุยกับนายมนูญ บุญหล้า นายประสงค์ผิวขาวปลั่ง และพวกที่อยู่ที่บริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะ หมูที่ 9ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยนางเล็กซึ่งเป็นภริยานั่งซ้อนท้ายมาจอดใกล้ผู้เสียหายนางเล็กชวนผู้เสียหายกับพวกไปรับประทานอาหารฉลองวันเกิดที่บ้านนางเล็ก ผู้เสียหายตอบว่า “ไม่ไป” และพูดเล่นต่อไปว่า “กินบนโต๊ะหรือกินบนหญ้า” เป็นเหตุให้จำเลยไม่พอใจขับรถจักรยานยนต์พานางเล็กออกไป ต่อมาประมาณ 5 นาที จำเลยขับรถจักรยานยนต์กลับมาเพียงคนเดียวถืออาวุธมีดง้าวใบมีดยาวประมาณ 1 ศอกกว้างประมาณ 3 ถึง 4 นิ้ว มาด้วย ผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามแต่ผู้เสียหายวิ่งไปได้ประมาณ 50 เมตร ก็สะดุดสายขึงเสาโทรทัศน์ล้มลง จำเลยเงื้ออาวุธมีดขึ้นเหนือหัวไหล่แล้วฟันที่ศีรษะผู้เสียหายผู้เสียหายยกแขนขึ้นรับ เป็นเหตุให้จำเลยฟันถูกแขนหรือข้อมือขวาของผู้เสียหายเกือบขาดจากกัน ผู้เสียหายหมดสติและมีผู้นำส่งโรงพยาบาลบ้านแหลม ต่อมาได้ถูกส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า นายแพทย์เอกโชติ พีรธรรมานนท์ ทำการตรวจรักษาบาดแผลแล้วมีความเห็นว่า ผู้เสียหายไม่สามารถใช้มือขวาได้ตามปกติและหากมารับการรักษาไม่ทันจะเสียเลือดมากและอาจติดเชื้อจนเป็นอันตรายถึงแก่ความตายได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นความผิดโดยเหตุฉกรรจ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) หรือไม่ จากคำเบิกความของผู้เสียหาย ปรากฏว่า เหตุคดีนี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้เสียหายใช้คำพูดซึ่งทำให้จำเลยเข้าใจว่าเป็นคำพูดที่ส่อเสียดล่วงเกินทางเพศแก่นางเล็กภริยาของจำเลย ซึ่งได้ไปพูดชักชวนผู้เสียหายกับพวกไปร่วมงานกินเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของนางเล็กโดยจัดงานที่บ้านของจำเลย และปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกธีระ สูงยิ่งพนักงานสอบสวนว่าได้สอบสวนผู้เสียหายและบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์คือนายประสงค์ ผิวขาวปลั่ง และนายมนูญ บุญล่า ว่าจำเลยไม่พอใจผู้เสียหายที่ใช้คำพูดไม่เหมาะสมกับนางเล็ก จำเลยขับรถจักรยานยนต์พานางเล็กกลับไป จากนั้นประมาณ 5 นาทีจำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์กลับมาเพียงผู้เดียว โดยมีอาวุธมีดง้าวดังกล่าวมาด้วยและเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ตามคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย นายประสงค์และนายมนูญเอกสารหมาย จ.2 จ.5 และจ.6 เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏรับฟังได้ว่า ก่อนหน้าที่จำเลยและนางเล็กจะพบกับผู้เสียหาย จำเลยไม่มีสาเหตุกับผู้เสียหายมาก่อนการที่จำเลยกระทำผิดคดีนี้ก็เพราะเหตุจากจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายพูดใช้ถ้อยคำส่อเสียดล่วงเกินทางเพศกับนางเล็ก ทั้ง ๆ ที่จำเลยกับนางเล็กมีเจตนาดีต่อผู้เสียหาย จำเลยจึงโกรธและกลับไปนำอาวุธมีดง้าวมากระทำผิดคดีนี้ โดยมีช่วงระยะเวลาห่างกันเพียงประมาณ5 นาที เท่านั้น พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมชี้ชัดว่าเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกระชั้นชิด มิได้มีช่วงระยะเวลาขาดตอนอันจะทำให้จำเลยมีโอกาสใช้เวลาใคร่ครวญไตร่ตรองแล้วจึงก่อเหตุคดีนี้ขึ้น การกระทำของจำเลยจึงรับฟังมิได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน