คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9858/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องตามสิทธิ
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี โจทก์กับหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลย ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ทวงหนี้จากลูกหนี้จำเลย และให้เป็นทนายความโดยตกลงกันทางโทรศัพท์ และจำเลยได้จัดส่งเอกสารต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ และได้โอนเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายผ่านธนาคารในจังหวัดอุดรธานี เพื่อเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารซึ่งอยู่ในเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระเงิน 154,925 บาท โดยอาศัยเหตุที่จำเลยได้ปรึกษาโจทก์และว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความติดตามทวงถามหนี้ และให้โจทก์เป็นทนายความฟ้องลูกหนี้ของจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แต่ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้สิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องตามสิทธิเกิดขึ้น นอกเขตอำนาจของศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลชั้นต้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องนี้ต่อศาลแขวงดุสิต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปรึกษาและว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความติดตามทวงหนี้แก่บริษัทบ้านเพชรน้ำตาลสด จำกัด และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สหธนกิจไทย จำกัด ให้ชำระหนี้ ตกลงค่าปรึกษาและค่าทนายความเป็นเงิน 100,000 บาท ถ้าทวงถามไม่ได้ ให้ฟ้องลูกหนี้ทั้งสองและให้คิดค่าทนายความเป็นเงิน 100,000 บาท จ่ายให้เมื่อคดีถึงที่สุด ส่วนค่าปรึกษาให้คิดรวมกับค่าใช้จ่ายโดยคิดตามปริมาณงานและระยะเวลาที่รับทำจนคดีถึงที่สุด จ่ายให้วันยื่นฟ้อง 40,000 บาท ส่วนที่เหลือจ่ายให้เมื่อคดีถึงที่สุด โจทก์ยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสองรายต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ต่อมาคดีสามารถประนีประนอมยอมความกันได้ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด จำเลยรับค่าธรรมเนียมศาลคืน 40,000 บาท และจำเลยได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแล้วถือว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยเสร็จสมบูรณ์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างทนายความทั้งหมดจำนวน 100,000 บาท และค่าปรึกษารวมกับค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 90,000 บาท จำเลยชำระเงินให้โจทก์แล้ว 35,075 บาท จำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 54,925 บาท รวมเป็นเงิน 154,925 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 154,925 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความทวงถามและเป็นที่ปรึกษา โจทก์อาสาดำเนินการฟ้องลูกหนี้จำเลยโดยไม่คิดค่าทนายความ โจทก์ทำงานยังไม่สำเร็จ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ และมูลคดีไม่ได้เกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้แย้งในชั้นนี้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี โจทก์กับนายสุชิน หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลย ได้ตกลงว่าจ้างให้โจทก์ทวงหนี้จากลูกหนี้จำเลย และเป็น ทนายความให้โดยตกลงกันทางโทรศัพท์ และได้ความจากคำเบิกความของนายสุชินว่า จำเลยได้มีการจัดส่งเอกสารต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ และได้โอนเงินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายให้โจทก์เป็นเงิน 85,000 บาท โดยโอนเงินผ่านธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนทหาร (อุดรธานี) เพื่อเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสุริยวงศ์ ซึ่งอยู่ในเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า มูลคดีนี้เกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า มูลคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) นั้น หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องตามสิทธิ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยเหตุที่จำเลยได้ปรึกษาโจทก์และว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความติดตามทวงถามหนี้จากลูกหนี้ของจำเลย และให้โจทก์เป็นทนายความฟ้องลูกหนี้จำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เมื่อข้อตกลงในการว่าจ้างโจทก์เป็นสัญญาจ้างทำของ โดยการทำข้อตกลง จัดส่งเอกสารต่าง ๆ และโอนเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายให้โจทก์ได้ติดต่อกันทางโทรศัพท์และผ่านธนาคารระหว่างจังหวัดอุดรธานีและเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร จึงต้องถือว่า ต้นเหตุอันมาเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องตามสิทธิเกิดขึ้นนอกเขตอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเสนอคำฟ้องนี้ต่อศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2536 ที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์มีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

Share