แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การนำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้ตามฟ้อง ไม่เป็นการนำสืบแตกต่างจากฟ้องในข้อที่เป็นสาระสำคัญ
โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสัญญากู้ยืมเงินเป็นหลัก การที่จำเลยยอมรับผิดในหนี้ที่บิดาจำเลยและเครือญาติมีต่อโจทก์โดยการทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้อง เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ทำให้หนี้เดิมระงับก่อให้เกิดหนี้ใหม่ระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยมีความผูกพันต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้รับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ สัญญากู้ยืมเงินไม่สมบูรณ์ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ธนาคารโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นเงิน 9,531,658.55 บาท โดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีและยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งแนบสำเนาประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยมาท้ายคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และตามสำเนาประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกข้อกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลด โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยคำฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยชัดแจ้งถึงสิทธิของโจทก์ในการเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีและสามารถต่อสู้คดีได้ คำฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์และจำเลยตกลงกำหนดวิธีชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินคืนโดยผ่อนทุกคืนเป็นงวด ๆ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความ5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2)เมื่อปรากฏว่าหลังจากทำสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตั้งแต่งวดแรกที่ต้องชำระภายในวันที่ 25 กันยายน 2528 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ได้ทั้งหมด อายุความเริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12คือ วันที่ 26 กันยายน 2528 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม2540 จึงพ้นกำหนดอายุความ 5 ปี
แม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความ แต่ทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า ภายหลังจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความ จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ระบุว่าจำเลยได้รับหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้แก่โจทก์จำเลยจะมาติดต่อแต่ได้รับอุบัติเหตุ จำเลยขอผ่อนผันการชำระหนี้ 2 เดือน และจะขายทรัพย์สินชำระหนี้แก่โจทก์กับขอให้โจทก์ลดดอกเบี้ยแก่จำเลย กรณีไม่ใช่เป็นเรื่องรับสภาพหนี้ เพราะการรับสภาพหนี้ตามพาณิชย์ มาตรา 193/14 ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความ แต่การที่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละประโยชน์แห่งอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 87 ประกอบด้วยมาตรา 83 ที่บัญญัติให้โจทก์จะต้องขอให้เรียกทายาทเข้ามาแก้คดีแทนจำเลยซึ่งถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาคดี ก็เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก แต่ถ้าทนายความจำเลยเป็นผู้แถลงขอให้เรียกทายาทเข้ามาแก้คดีแทนจำเลยที่ตาย โดยโจทก์ไม่คัดค้านและทายาทยินยอมเข้ามาแก้คดีแทน ก็ไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องขอให้เรียกทายาทเข้ามาแก้คดีแทนจำเลยที่ตายอีก และไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย แต่จำเลยได้ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณา พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 87บัญญัติให้กระบวนพิจารณาคงดำเนินต่อไป และให้นำบทบัญญัติในหมวดนี้มาใช้บังคับด้วย หมายถึงบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยกระบวนพิจารณาในกรณีที่ลูกหนี้ตาย ซึ่งเจ้าหนี้อาจฟ้องขอให้จัดการทรัพย์มรดกของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้ หากปรากฏว่าลูกหนี้ยังมีชีวิตอยู่เจ้าหนี้อาจฟ้องขอให้ล้มละลายได้ เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นไม่อาจมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลายได้เนื่องจากจำเลยไม่มีสภาพเป็นบุคคล ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิพากษาให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 84ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและรับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์จำเลยไม่มีเจตนาชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ หนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่มีมูลหนี้ โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หนี้ในส่วนดอกเบี้ยจึงเป็นโมฆะทั้งหมด และโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใดและมีจำนวนเท่าใดกับไม่มีรายละเอียดในการคิดดอกเบี้ย ทำให้จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม และเมื่อรายการส่วนดอกเบี้ยไม่ถูกต้องยอดหนี้ตามคำฟ้องจึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินขาดอายุความ หนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ฉบับลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2534ไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้ จำเลยไม่มีเจ้าหนี้อื่นอีกและมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่ความตาย ทนายความจำเลยขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกทายาทจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทน นางกิ่งกาญจน์คณานุรักษ์ ภริยาของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 84 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินและได้รับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจริง แต่ไม่ได้รับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินจึงไม่สมบูรณ์ จะรับฟังว่ามีการแปลงหนี้ใหม่ สัญญากู้ยืมเงินจึงสมบูรณ์ และบังคับได้ตามกฎหมายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องและนำสืบในชั้นพิจารณา จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์ฟ้องนั้นเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินลงวันที่ 28 มิถุนายน 2528 เป็นเงิน 9,531,658.55 บาทและจำเลยได้รับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ครบถ้วน แต่โจทก์ก็นำสืบว่า เดิมนายดิเรกคณานุรักษ์ บิดาจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 9,547,467.80 บาท เมื่อบิดาจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขอรับผิดชำระหนี้แทน และต่อมาจำเลยทำบันทึกข้อตกลงประนอมหนี้และรับผิดใช้หนี้สินตามเอกสารหมายจ.17 และ จ.18 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว หลังจากนั้นจำเลยตกลงทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ โดยรวมหนี้ของบิดาจำเลยและเครือญาติเข้าด้วยกันเป็นเงิน 9,531,658.55 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.9ดังนี้เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้ตามฟ้องไม่เป็นการนำสืบแตกต่างจากฟ้องในข้อที่เป็นสาระสำคัญเพราะโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสัญญากู้ยืมเงินเป็นหลักซึ่งมีจำนวนหนี้เท่านั้น การที่จำเลยยอมรับผิดในหนี้ที่บิดาจำเลยและเครือญาติมีต่อโจทก์โดยการทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้อง เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย ทำให้หนี้เดิมระงับก่อให้เกิดหนี้ใหม่ระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยมีความผูกพันต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.9 จะอ้างว่าจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ สัญญากู้ยืมเงินไม่สมบูรณ์ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้
ที่จำเลยฎีกาข้อสองว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงสิทธิของโจทก์ในการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดนั้นเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นเงิน 9,531,658.55บาท โดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมทั้งแนบสำเนาประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยมาท้ายคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และตามสำเนาประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกข้อกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย คำฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยชัดแจ้งถึงสิทธิของโจทก์ในการเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีและสามารถต่อสู้คดีได้คำฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาข้อสามว่า หนี้ตามฟ้องมีกำหนดอายุความ 5 ปี มิใช่มีกำหนดอายุความ 10 ปี ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย และสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ที่จำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์เป็นเงิน 9,531,658.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำเลยตกลงชำระหนี้ตามสัญญาให้ครบถ้วนภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2536 โดยผ่อนชำระเป็นงวด งวดละเดือนเดือนละไม่น้อยกว่า 30,000 บาท ภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 25 กันยายน 2528 หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์เรียกหนี้ทั้งหมดคืนได้ทันที ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.9ข้อ 3 ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกำหนดวิธีชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินคืนโดยผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2) เมื่อปรากฏว่าหลังจากทำสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตั้งแต่งวดแรกที่ต้องชำระภายในวันที่ 25 กันยายน 2528 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ได้ทั้งหมด อายุความเริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 คือ วันที่ 26 กันยายน 2528โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2540 จึงพ้นกำหนดอายุความ5 ปี แม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความ แต่ทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 ภายหลังจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ระบุว่า จำเลยได้รับหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยจะมาติดต่อ แต่ได้รับอุบัติเหตุ จำเลยขอผ่อนผันการชำระหนี้ 2 เดือนและจะขายทรัพย์สินชำระหนี้แก่โจทก์กับขอให้โจทก์ลดดอกเบี้ยแก่จำเลยตามหนังสือและซองจดหมายเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 กรณีไม่ใช่เป็นเรื่องรับสภาพหนี้ดังที่จำเลยฎีกา เพราะการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความ แต่การที่จำเลยมีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.12 ถึงโจทก์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละประโยชน์แห่งอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้และต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ที่จำเลยฎีกาข้อสี่ว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 83 โจทก์จะต้องขอให้เรียกทายาทเข้ามาแก้คดีแทนจำเลยที่ตายมิได้บัญญัติให้บุคคลอื่นเป็นผู้ร้องขอ การที่ทนายความจำเลยแถลงขอให้เรียกนางกิ่งกาญจน์ คณานุรักษ์ ภริยาจำเลยเข้ามาแก้คดีแทน แม้โจทก์กับนางกิ่งกาญจน์ไม่คัดค้านก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 87ประกอบด้วยมาตรา 83 ที่บัญญัติให้โจทก์จะต้องขอให้เรียกทายาทเข้ามาแก้คดีแทนจำเลยซึ่งถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาคดี ก็เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก แต่ถ้าทนายความจำเลยเป็นผู้แถลงขอให้เรียกทายาทเข้ามาแก้คดีแทนจำเลยที่ตาย โดยโจทก์ไม่คัดค้านและทายาทยินยอมเข้ามาแก้คดีแทน ก็ไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องขอให้เรียกทายาทเข้ามาแก้คดีแทนจำเลยที่ตายอีก และไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์มิได้ฟ้องขอให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ศาลจะพิพากษาให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ไม่ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย จำเลยได้ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณา พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 87บัญญัติให้กระบวนพิจารณาคงดำเนินต่อไป และให้นำบทบัญญัติในหมวดนี้มาใช้บังคับด้วย อันหมายถึงบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยกระบวนพิจารณาในกรณีที่ลูกหนี้ตาย ซึ่งเจ้าหนี้อาจฟ้องขอให้จัดการทรัพย์มรดกของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้ หากปรากฏว่าลูกหนี้ยังมีชีวิตอยู่เจ้าหนี้อาจฟ้องขอให้ล้มละลายได้ ฉะนั้นเมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นไม่อาจมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลายได้ เนื่องจากจำเลยไม่มีสภาพเป็นบุคคล ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะพิพากษาให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 84 ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 84 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ