คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในรายงานกระบวนพิจารณามีข้อความว่า คู่ความจะหาทางตกลงปรองดองในระหว่างกันเองก่อน แล้วจะแถลงให้ศาลทราบภายในวันที่ระบุไว้ ถ้าตกลงกันไม่ได้ หรือไม่แถลงให้ศาลทราบให้ศาลกำหนดเงินจำนวนหนึ่งขึ้นตามที่ศาลเห็นสมควร เพื่อให้เป็นการช่วยเหลือโดยจำเลยตกลงชำระตามที่ศาลกำหนด และโจทก์ก็พอใจตามนั้นไม่ติดใจดำเนินคดีกันต่อไป ข้อตกลงข้างต้นนี้เป็นการสละประเด็นตามฟ้องและตามคำให้การของคู่กรณี โดยต่างสละข้ออ้างข้อเถียงในประเด็นอื่นสิ้นเชิง เพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดจำนวนเงินที่จะให้จำเลยชำระแก่โจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลผูกมัดโจทก์จำเลยดังนั้นคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมาขอยกเลิกเพิกถอนข้อตกลงโดยจะขอให้สืบพยานต่อไป แล้วให้ศาลพิพากษาไปตามรูปคดีย่อมไม่อาจกระทำได้
แม้ในรายงานกระบวนพิจารณาจะใช้ถ้อยคำเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ศาลกำหนดว่าเพื่อเป็นการช่วยเหลือโจทก์ และมิได้ระบุเป็นเงินค่าเสียหายก็ตาม แต่ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจกันในระหว่างคู่ความแล้วว่าเป็นจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกร้องมาตามฟ้องนั่นเองข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดไปตามที่คู่ความตกลงกันได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์และที่ดินของจำเลยที่ ๑ มีเขตติดต่อกันและที่ดินทั้งสองแปลงนี้อยู่ริมคลองมหาชัย โจทก์ได้สร้างโรงสีไฟ สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กทางเขตด้านริมคลองมหาชัย สร้างอาคาร และสร้างสะพานคอนกรีตยื่นออกไปในคลองมหาชัยในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ตั้งโรงน้ำแข็งในที่ดินของตน ใน พ.ศ. ๒๕๐๔ จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันสร้างเขื่อนคอนกรีตทางด้านคลองมหาชัย และได้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นอีกลงในที่ดินของจำเลยที่ ๑ โดยมิได้รับอนุญาตจากเทศบาล ครั้นวันที่๒๒ กรกฏาคม ๒๕๐๗ พื้นลาดซิเมนต์ของจำเลยได้เกิดรอยร้าวแยกขึ้น จำเลยทั้งสามจึงให้ลูกจ้างจัดการตอกเข็มลงไปในระหว่างรอยแตกแยกประมาณ๕๐ ต้น โดยมิได้ปรึกษากับผู้มีความรู้ในทางวิศวกรรมและมิยอมฟังคำห้ามปรามตักเตือนของโจทก์ ครั้นวันรุ่งขึ้น สิ่งปลูกสร้างของจำเลยได้ยุบฟังทลายลงทั้งเขื่อนก็เลื่อนพังออกไป การสั่นสะเทือนเนื่องจากการทรุดตัวของสิ่งปลูกสร้างเบียดไปทางที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้สิ่งก่อสร้างของโจทก์เสียหาย คือสะพานคอนกรีตพังทลาย เขื่อนคอนกรีตทรุดหัก พื้นนอกชานและตัวอาคารทรุดหัก รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๒๒๕,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวกับดอกเบี้ยจากวันเกิดความเสียหายจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๘,๔๓๗บาท ๕๐ สตางค์ และดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า ไม่จำต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้น ที่เกิดความเสียหายขึ้นแก่ทรัพย์สินของโจทก์ ก็เพราะทรัพย์สิน โจทก์ได้ก่อสร้างมานานแล้วและความเสียหายเกิดขึ้นเพราะภัยธรรมชาติอันเป็นสิ่งสุดวิสัย โจทก์มิได้เสียหายมากดังฟ้อง หากจะซ่อมแซมก็เสียค่าใช้จ่ายไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ทั้งจำเลยไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับดอกเบี้ย
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๑ แถลงว่า ถ้าคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยต้องรับผิด จำเลยที่ ๑ ยอมรับผิดชำระให้โจทก์ทั้งหมด โจทก์จึงไม่ติดใจเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ ๒ ให้เข้ามารับมรดกความแทนจำเลยที่ ๒
เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว ก่อนสืบพยานจำเลย ศาลไกล่เกลี่ยคู่ความตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๐๙ว่า คู่ความจะหาทางตกลงปรองดองกันในระหว่างกันเองก่อน แล้วจะแถลงให้ศาลทราบภายในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๐๙ ถ้าตกลงกันไม่ได้หรือไม่แถลงให้ศาลทราบ ให้ศาลกำหนดเงินจำนวนหนึ่งขึ้นตามที่ศาลเห็นสมควร เพื่อให้เป็นการช่วยเหลือ โดยจำเลยตกลงจะชำระตามที่ศาลกำหนด และโจทก์ก็พอใจตามนั้น ไม่ติดใจดำเนินคดีกันต่อไป แล้วศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ ๘ธันวาคม ๒๕๐๙
ก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ยื่นคำร้องว่าการเจรจาตกลงอะไรกันไม่ได้ ถ้าศาลกำหนดเงินช่วยเหลือให้จำเลยชำระเท่าไรหากโจทก์พอใจก็รับเอา ถ้าไม่พอใจก็จะอุทธรณ์ต่อไป เพราะข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าว คู่ความมิได้ตกลงในประเด็นแห่งคดีเป็นการแน่นอน เพียงแต่ศาลให้คู่กรณีหาทางตกลงกันเองก่อน หากตกลงกันไม่ได้ศาลจะเป็นฝ่ายกำหนดเงินช่วยเหลือให้จำนวนหนึ่ง แล้วพิพากษาไปตามนั้น ดังนี้ คำพิพากษาจึงไม่เป็นไปตามข้อตกลงของคู่กรณีในประเด็นแห่งคดี เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘คู่ความจึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้ และคำพิพากษานั้นก็ไม่เป็นคำพิพากษาอันต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๒ เพราะเงินที่กำหนดเพื่อช่วยเหลือนั้น มิใช่เป็นผลมาจากอนุญาโตตุลาการ และเป็นกรณีที่ศาลไม่ได้พิพากษาตามข้อกำหนดของอนุญาโตตุลาการ แต่เป็นกรณีที่ศาลกำหนดขึ้นเองตามสมควร จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์ได้สืบพยานไว้แล้วส่วนจำเลยยังมิได้สืบพยาน จึงตกเป็นฝ่ายได้รับความเสียหาย เพราะไม่มีพยานหลักฐานอะไรที่จะช่วยแสดงให้ศาลได้ใช้ประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดตามวิธีการแห่งกระบวนพิจารณา จำเลยจึงไม่ประสงค์ให้ศาลกำหนดเงินช่วยเหลือ และขอสืบพยานจำเลย แล้วให้ศาลชี้ขาดไปตามพยานหลักฐาน
โจทก์คัดค้านคำร้องจำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของจำเลยว่า เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันต่อศาลเช่นนั้นแล้ว จำเลยจะถอนฝ่ายเดียวโดยโจทก์ไม่ยินยอมด้วยไม่ได้ ยกคำร้อง
ในที่สุดศาลชั้นต้นพิพากษา โดยกำหนดเงินค่าช่วยเหลือให้จำเลยที่ ๑และที่ ๓ ชำระแก่โจทก์เป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ศาลพิพากษาให้ ๘๐,๐๐๐ บาท ไม่คู่ควรกับความเสียหายของโจทก์ขอให้จำเลยรับผิดตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ แยกอุทธรณ์ โดยจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า มีสิทธิเพิกถอนข้อตกลงได้ ส่วนจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ว่าเงินค่าช่วยเหลือไม่ใช่ค่าเสียหายเป็นการพิพากษานอกคำขอแต่แล้วจำเลยที่ ๓ ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวฎีกาว่า ข้อตกลงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิขอให้ยกเลิกเพิกถอนได้
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์จำเลยตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๐๙ นั้น เป็นการสละประเด็นตามฟ้องตามคำให้การของคู่กรณี โดยงดสืบพยานต่อไป ขั้นแรกให้คู่ความไปตกลงในระหว่างกันเองก่อน หากตกลงกันไม่ได้ ก็ยินยอมให้ศาลกำหนดจำนวนเงินก้อนหนึ่ง เพื่อเป็นการช่วยเหลือแก่โจทก์ โดยคู่ความตกลงจะถือปฏิบัติตามนับว่าเป็นข้อตกลงให้ศาลใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะให้จำเลยชำระแก่โจทก์ เพื่อให้คดีได้เสร็จลุล่วงไป โดยต่างสละข้ออ้างข้อเถียงในประเด็นส่วนอื่นสิ้นเชิง การตกลงดังกล่าวย่อมมีผลผูกมัดโจทก์จำเลยให้ปฏิบัติตามดังนั้น การที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมาขอยกเลิกเพิกถอนข้อตกลงดังกล่าวโดยขอให้สืบพยานต่อไปแล้ว ให้ศาลพิพากษาไปตามรูปคดี จึงย่อมไม่อาจกระทำได้ อนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นจะใช้ถ้อยคำว่าเป็นจำนวนเงินเพื่อช่วยเหลือโจทก์ก็ตาม แต่จำนวนเงินดังกล่าวก็ย่อมเป็นที่เข้าใจกันในระหว่างคู่ความแล้วว่าเป็นจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกร้องมาตามฟ้องนั่นเอง คู่ความจึงตกลงกันสละประเด็นแห่งคดีและระงับการสืบพยานต่อไป และในกรณีที่คู่ความไม่สามารถตกลงกันได้ก็ให้ศาลเป็นผู้กำหนด ฉะนั้น เมื่อคู่ความตกลงกันเช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจจะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ตามที่คู่ความตกลงกันข้อตกลงนั้นเป็นข้อตกลงที่ชอบด้วยกฎหมาย และมิได้ขัดต่อกฎหมายอันจะทำให้ตกเป็นโมฆะแต่ประการใด
พิพากษายืน

Share