คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9812/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับดุลพินิจในการกำหนดโทษของจำเลยที่ 1 ในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง แต่ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี สำหรับความผิดฐานดังกล่าว กรณีจึงเป็นความผิดหลงหรืออีกนัยหนึ่งเขียนคำพิพากษาในส่วนที่กำหนดโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานดังกล่าวผิดพลาดไป ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่จะแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดให้ถูกต้องได้โดยมิได้เป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 190 ประกอบมาตรา 215 ทั้ง ป.วิ.อ. ได้บัญญัติวิธีพิจารณาในกรณีแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดไว้แล้ว จึงไม่อาจนำ ป.วิ.พ. มาตรา 143 มาใช้บังคับกับกรณีดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91, 295, 371 และริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 91 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 จำคุกคนละ 1 ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบอาวุธปืนของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง (ที่ถูก มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง) จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อาวุธปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดจึงให้ริบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้คู่ความฟังแล้ว พบข้อสงสัยบางประการในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อพิจารณาต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาแล้ว มีคำสั่งว่า คดีมีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพียงประเด็นเดียวว่า การที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ริบอาวุธปืนของกลางตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เป็นการไม่ชอบหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้ว และศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยถึงฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 โดยยกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้แต่ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องดุลพินิจในการกำหนดโทษของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้ขึ้นมาด้วย การที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนท้ายของคำพิพากษามีข้อความว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง นั้น จึงเป็นการพิมพ์ข้อความเกินไปโดยผิดหลง และคลาดเคลื่อนจากข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าว ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ของศาลชั้นต้นเสีย และให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ได้แก้ไขแล้วให้โจทก์และจำเลยทั้งสามฟัง กับให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ได้แก้ไขแล้วด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 เป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฉบับลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2552 ซึ่งการแก้ไขในส่วนของเนื้อหาสาระหรือผลของคำพิพากษาหรือคำสั่ง เป็นอำนาจของศาลที่สูงกว่าที่จะแก้ไขได้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมไม่มีอำนาจที่จะแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งของตนเองได้นั้น เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 เห็นได้ชัดว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ประสงค์ที่จะวินิจฉัยในคำพิพากษาเฉพาะประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ริบอาวุธปืนของกลางตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 โดยไม่มีข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับดุลพินิจในการกำหนดโทษของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง แต่ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี สำหรับความผิดฐานดังกล่าว กรณีจึงเป็นเพราะความผิดหลงหรืออีกนัยหนึ่งเขียนคำพิพากษาในส่วนที่กำหนดโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตผิดพลาดไป ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่จะแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดให้ถูกต้องได้โดยมิได้เป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 ประกอบมาตรา 215 ทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้บัญญัติวิธีพิจารณาในกรณีแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดไว้แล้วในมาตรา 190 จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 มาใช้บังคับกับกรณีดังกล่าวได้ดังที่โจทก์ฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share