คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ให้ ย.ขับรถยนต์ไปทำธุรกิจให้จำเลยโดยมีจำเลยนั่งไปด้วย ย่อมถือได้ว่าจำเลยเป็นตัวการ และ ย.เป็นตัวแทนของจำเลยในกิจการนี้โดยปริยาย เมื่อ ย.ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ถือได้ว่า ย.กระทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานะตัวแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ ย.ได้กระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 427 ประกอบด้วย มาตรา 420

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียนก.0163 สงขลา จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียนสุราษฎร์ธานี 4669 ร่วมกับนายสกลซึ่งเป็นเจ้าของ จำเลยได้มอบหมายหรือใช้ให้นายยงยุทธซึ่งเป็นน้องชายเป็นตัวแทนขับรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวโดยมีจำเลยนั่งไปทำกิจธุระของจำเลยนายยงยุทธขับรถโดยประมาทพุ่งเข้าชนรถยนต์บรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายเป็นเงิน 125,036 บาท โจทก์ได้ชดใช้ความเสียหายแก่ผู้เอาประกันไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยและจำเลยร่วมให้การว่าจำเลยและจำเลยร่วมไม่ได้ให้นายยงยุทธเป็นตัวแทนขับรถคันดังกล่าวจำเลยร่วมได้ให้นายยงยุทธยืมไปใช้ในกิจการของนายยงยุทธจำเลยเพียงแต่นั่งรถไปกับนายยงยุทธ เหตุรถชนกันเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับปัญหาว่า จำเลยและจำเลยร่วมจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น แม้โจทก์จะไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ได้ความชัดแจ้งว่า นายยงยุทธ ดามพวรรณ ผู้ขับรถของจำเลยร่วมคันที่เกิดเหตุเป็นตัวแทนของจำเลยและจำเลยร่วม แต่จำเลยร่วมก็เบิกความว่า นายยงยุทธอาศัยอยู่กับบิดามารดาซึ่งค้าวัสดุก่อสร้างนายยงยุทธช่วยทำการค้าด้วยวันที่นายยงยุทธมายืมรถนั้นนายยงยุทธบอกว่าขอยืมรถเพราะจำเลยให้ขับรถไปอำเภอท่าชนะนางสมบูรณ์มารดานายยงยุทธเบิกความว่า นายยงยุทธช่วยนายสุภาพพี่ชายค้าขายไม่ได้รับเงินเดือนแต่พี่ชายให้ใช้เดือนละ3,000 – 4,000 บาท วันเกิดเหตุจำเลยใช้ให้นายยงยุทธ ขับรถยนต์ไปที่อำเภอหลังสวนเพื่อทำธุระอะไรไม่ทราบ นายสุภาพพี่ชายของนายยงยุทธเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุนายยงยุทธน้องชายบอกว่าจะไปธุระกับพี่สาวที่อำเภอพุนพินแล้วจะต่อไปที่อำเภอหลังสวน และจำเลยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยมีอาชีพทำการค้าวันเกิดเหตุจำเลยพร้อมด้วยนายยงยุทธน้องชายไปติดต่อการค้าที่อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร นายยงยุทธเป็นผู้ขับรถยนต์ เมื่อเสร็จแล้วจำเลยกับนายยงยุทธจึงเดินทางกลับจังหวัดสุราษฎร์ธานี จากคำเบิกความของจำเลยร่วม พยานจำเลยและคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนน่าเชื่อว่า จำเลยใช้ให้นายยงยุทธไปยืมรถยนต์จากจำเลยร่วมและใช้ให้นายยงยุทธขับรถยนต์ไปติดต่อการค้าของจำเลยไม่น่าเชื่อว่านายยงยุทธจะชวนจำเลยขับรถยนต์ไปเที่ยวดังที่จำเลยเบิกความ เพราะนายยงยุทธช่วยบิดามารดาค้าขาย หากนายยงยุทธไปเที่ยวหรือไปติดต่อการค้าของนายยงยุทธเอง นางสมบูรณ์มารดาย่อมรู้เรื่องดีเพราะอยู่บ้านเดียวกัน และนางสมบูรณ์ก็เบิกความว่าจำเลยใช้ให้นายยงยุทธขับรถยนต์ไปธุระไม่ใช่ไปเที่ยว เมื่อฟังว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้นายยงยุทธขับรถยนต์ไปทำธุรกิจให้จำเลยย่อมถือได้ว่าจำเลยเป็นตัวการ นายยงยุทธเป็นตัวแทนของจำเลยในกิจการนี้โดยปริยาย เมื่อนายยงยุทธขับรถยนต์ไปชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายก็ถือได้ว่านายยงยุทธทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานะตัวแทน จำเลยซึ่งเป็นตัวการย่อมต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่นายยงยุทธกระทำไปนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427ประกอบด้วย มาตรา 420 ส่วนจำเลยร่วมเป็นแต่เพียงเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุที่จำเลยยืมไปใช้ในธุรกิจของจำเลย จำเลยร่วมมิได้มีส่วนใช้ให้นายยงยุทธขับรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อธุรกิจของจำเลยร่วมด้วยจำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลย ส่วนปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใดนั้นโจทก์มีนายสุรเดช พัฒนศิริ เจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์คลองเรียนการช่างมาเบิกความว่า เป็นผู้ซ่อมรถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้คิดค่าซ่อม 18,000 บาท และค่าอะไหล่รถยนต์คันที่ซ่อมรายละเอียดตามเอกสาร ป.ล.1 รวมทั้งค่ารถยกเป็นเงิน 130,736 บาท แต่โจทก์ขอมาเพียง 125,036 บาท ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้ง และโจทก์ก็มีกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย ป.ล.3 มาเป็นหลักฐานว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไว้จริง เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าซ่อมและค่าใช้จ่ายแทนเจ้าของรถไปแล้ว โจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน125,036 บาท พร้อมดอกเบี้ย

Share