แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะมีชื่อในทะเบียนรถซึ่ง พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 17/1 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวมิใช่เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยตกลงคืนรถยนต์ให้แก่โจทก์โดยมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และนัดหมายโอนทะเบียนรถให้แก่กันแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยยอมรับว่ารถยนต์เป็นของโจทก์โดยให้ใส่ชื่อจำเลยถือครองแทน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท
หากโจทก์มีความประสงค์จะซื้อบ้านพร้อมที่ดินพิพาทให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จริงก็ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์กับจำเลยต้องทำสัญญาซื้อขายไว้อีก และเมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดในสัญญาดังกล่าวแล้วแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่า ต้องการจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินพิพาทเป็นของตนเอง แต่เนื่องจากโจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่ได้ถือสัญชาติไทยจะมีสิทธิถือครองที่ดินได้ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทน ดังจะเห็นได้จากข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวว่าหากวันใดมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในการถือสิทธิครอบครองที่ดินขอให้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์โดยชอบธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกร้องทรัพย์สินคืน เมื่อปรากฏว่าทรัพย์นั้นยังคงมีอยู่ที่จำเลยและจำเลยสามารถปฏิบัติการส่งมอบทรัพย์พิพาทตามที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจึงไม่ต้องชำระราคาทรัพย์ และจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติด้วยการนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดแต่อย่างใด แต่กรณีที่ต้องบังคับตาม ป.ที่ดิน มาตรา 94 ที่บัญญัติให้คนต่างด้าวจัดการจำหน่ายที่ดินภายในเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด ทั้งการบังคับให้จำหน่ายดังกล่าวก็หมายความเฉพาะที่ดินเท่านั้น ไม่รวมถึงสิ่งปลูกสร้างด้วย เพราะคนต่างด้าวไม่ต้องห้ามมิให้ถือกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง ตามคำฟ้องของโจทก์แปลความได้ว่าโจทก์ฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินคืน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับให้จัดการจำหน่ายที่ดินพิพาทให้เป็นไปตามกฎหมายได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 1,550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่สามารถชำระเงินให้ได้ขอให้มีคำสั่งให้นำที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระราคารถยนต์ 380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระขอมีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ ขอศาลมีคำสั่งให้นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระราคาค่าที่ดิน 1,550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่สามารถชำระได้ให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 53305 ตำบลสระแก้ว อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ ให้จำเลยชำระราคารถยนต์หมายเลขทะเบียน กจ 5105 กำแพงเพชร เป็นเงิน 380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่สามารถชำระได้ให้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 1,550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์ หากไม่สามารถชำระได้ ให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 53305 ตำบลสระแก้ว อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นตามพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นชาวสวีเดน อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยตั้งแต่ปี 2547 โจทก์ซื้อบ้านพร้อมที่ดินจากโครงการศรีเจริญวิลล่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายฉบับที่เป็นภาษาสวีเดนและคู่ฉบับที่เป็นภาษาไทยมีข้อความว่า โจทก์เป็นผู้ชำระราคาบ้านและที่ดินพิพาทกับยกกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินให้แก่จำเลย โดยโจทก์เช่าที่ดินจากจำเลยเป็นเวลา 30 ปี และชำระค่าเช่าที่ดินแล้ว หากวันใดมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในการถือกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดิน ขอให้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์โดยชอบธรรม ส่วนรถยนต์พิพาทโจทก์ได้รับคืนไปแล้วและจำเลยตกลงโอนทะเบียนรถให้โจทก์โดยมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์คืนให้โจทก์และนัดหมายโอนทะเบียนรถให้เมื่อถึงวันนัดน้องชายจำเลยเรียกเงินจากโจทก์อีก 20,000 บาท โจทก์ไม่ยินยอมจึงไม่ได้จดทะเบียนโอนรถให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะมีชื่อในทะเบียนรถซึ่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 17/1 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวมิใช่เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยตกลงคืนรถยนต์ให้แก่โจทก์โดยมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และนัดหมายโอนทะเบียนรถให้แก่กันแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยยอมรับว่ารถยนต์เป็นของโจทก์โดยให้ใส่ชื่อจำเลยถือครองแทนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินพิพาทหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่เคยให้สิ่งใดกับจำเลยนับแต่อยู่กินด้วยกันมา เมื่อซื้อบ้านอยู่ด้วยกันโจทก์ประสงค์จะยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย เพราะหากโจทก์ตายจำเลยจะไม่มีที่อยู่อาศัยนั้น เห็นว่า หากโจทก์มีความประสงค์จะซื้อบ้านพร้อมที่ดินพิพาทให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จริงก็ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์กับจำเลยต้องทำสัญญาซื้อขายไว้อีก และเมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดในสัญญาดังกล่าวแล้วแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่า ต้องการจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินพิพาทเป็นของตนเอง แต่เนื่องจากโจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่ได้ถือสัญชาติไทยจะมีสิทธิถือครองที่ดินได้ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทน ดังจะเห็นได้จากข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวว่าหากวันใดมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในการถือสิทธิครอบครองที่ดินขอให้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์โดยชอบธรรม ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเหตุที่ทำสัญญาซื้อขายเพื่อป้องกันไม่ให้จำเลยนำไปขายให้แก่ผู้อื่นนั้น เป็นการกล่าวที่เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินที่พิพาทโดยให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 1,550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์ หากไม่สามารถชำระได้ ให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องทรัพย์สินคืน เมื่อปรากฏว่าทรัพย์นั้นยังคงมีอยู่ที่จำเลยและจำเลยสามารถปฏิบัติการส่งมอบทรัพย์พิพาทตามที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจึงไม่ต้องชำระราคาทรัพย์และจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติด้วยการนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดแต่อย่างใด แต่กรณีที่ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 94 ที่บัญญัติให้คนต่างด้าวจัดการจำหน่ายที่ดินภายในเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด ทั้งการบังคับให้จำหน่ายดังกล่าวก็หมายความเฉพาะที่ดินเท่านั้น ไม่รวมถึงสิ่งปลูกสร้างด้วย เพราะคนต่างด้าวไม่ต้องห้ามมิให้ถือกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง เมื่อได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า ตามคำฟ้องของโจทก์แปลความได้ว่าโจทก์ฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินคืน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับให้จัดการจำหน่ายที่ดินพิพาทให้เป็นไปตามกฎหมายได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 53305 ตำบลสระแก้ว อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้โจทก์จำหน่ายเฉพาะที่ดินดังกล่าวภายในเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด หากไม่ปฏิบัติตามให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้นได้ตามกฎหมาย โดยให้จำเลยซึ่งมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ไปจดทะเบียนโอนจำหน่ายให้ หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รถยนต์หมายเลขทะเบียน กจ 5105 กำแพงเพชร หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ