คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ไม่ได้นำตัวสายสืบที่ทำการล่อซื้อกัญชาของกลางมาเป็นพยานคงมีแต่พยานผู้จับกุมจำนวน2ปากแต่พยานทั้งสองปากนี้เบิกความเป็นพิรุธขัดต่อเหตุผลแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญแม้จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไว้ก็ตามอีกทั้งจำเลยยังบอกถึงที่ซ่อนของกัญชาอีกส่วนหนึ่งถ้ากัญชาดังกล่าวเป็นของจำเลยจริงจำเลยก็คงไม่บอกให้พยานโจทก์ทราบเพราะเป็นการผิดวิสัยของผู้กระทำผิดทั่วไปประกอบกับกัญชาอยู่ห่างกระท่อมของจำเลยถึง500เมตรจึงเป็นเหตุพิรุธสงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจส่วนกัญชาที่ค้นพบก็ยังมีเหตุสงสัยไม่น่าเชื่อเช่นกันว่าเป็นของจำเลยต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย มี กัญชา แห้ง ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่ายและ ได้ จำหน่าย กัญชา ซึ่ง เป็น ส่วน หนึ่ง ของ กัญชา ที่ จำเลย มี แก่ผู้มีชื่อ ขอให้ ลงโทษ ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102 และ ขอให้ นำ โทษ จำเลย ใน คดีอาญาหมายเลขแดง ที่ 1161/2535 ของ ศาลชั้นต้น บวก เข้า กับ โทษ ของ จำเลยใน คดี นี้ และ นับ โทษ ของ จำเลย ใน คดี นี้ ต่อ จาก โทษ ของ จำเลย ใน คดีอาญาหมายเลขดำ ที่ 724/2536 ของ ศาลชั้นต้น ด้วย กับ ขอให้ ริบ กัญชา ของกลางส่วน เงิน ของกลาง ให้ คืน แก่ เจ้าของ
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ แต่ รับ ว่า เป็น บุคคล คนเดียว กับ จำเลย ใน คดีที่ โจทก์ ขอให้ บวก โทษ และ นับ โทษ ต่อ
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง ริบ กัญชา ของกลาง ส่วน ธนบัตร ของกลางให้ คืน แก่ เจ้าของ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษากลับ ว่า จำเลย มี ความผิด ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 75 วรรคแรก ,76 วรรคสอง , 102 การกระทำ ของ จำเลย เป็น ความผิด 2 กรรมเรียง กระทง ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ จำคุกกระทง ละ 2 ปี รวมเป็น จำคุก 4 ปี จำเลย ให้การรับสารภาพ ใน ชั้นสอบสวนเป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา อันเป็น เหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สาม คง จำคุก 2 ปี8 เดือน ให้ นำ โทษ ของ จำเลย ที่ รอ ไว้ ใน คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 1161/2535ของ ศาลชั้นต้น มี กำหนด 3 เดือน มา บวก เข้า คง เป็น จำคุก 2 ปี 11 เดือนที่ ขอให้ นับ โทษ จำเลย ต่อ จาก คดีอาญา หมายเลขดำ ที่ 724/2536 ไม่ปรากฏ ว่าศาลชั้นต้น ได้ พิพากษา แล้ว จึง ไม่ นับ ต่อ ให้ ริบของกลาง คืน ธนบัตร แก่เจ้าของ
โจทก์ และ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ปัญหา วินิจฉัย ใน ชั้น นี้ มี ว่า จำเลย ได้จำหน่าย กัญชา ให้ สาย ลับ และ มี กัญชา ที่ ค้นพบ ดังกล่าว ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อจำหน่าย อันเป็น การกระทำ ความผิด ที่ โจทก์ ฟ้อง ดัง ที่ จำเลย ฎีกา หรือไม่และ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ไม่ นับ โทษ ของ จำเลย คดี นี้ ต่อ จาก โทษ คดีอาญาหมายเลขดำ ที่ 724/2536 ของ ศาลชั้นต้น เป็น การ ไม่ชอบ ดัง ที่ โจทก์ ฎีกาหรือไม่ จะ วินิจฉัย ปัญหา แรก เสีย ก่อน ว่า จำเลย ได้ กระทำผิด จริง ตาม ฟ้องหรือไม่ โจทก์ มี ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ จ่าสิบตำรวจสำเนียง และ จ่าสิบตำรวจ ประภาส เป็น พยาน เบิกความ ว่า เป็น ผู้ ร่วม จับ จำเลย ได้ พร้อม กัญชา ที่ สาย ลับ นำ มา มอบ ให้ และ กัญชา ที่ ค้น ได้ จาก ใต้ กอง ฟางดังกล่าว ตาม ทางพิจารณา ได้ความ ว่า จ่าสิบตำรวจ สำเนียง เพียง ผู้เดียว ที่ อ้างว่า ไป แอบ ซุ่ม ดู อยู่ ที่ รั้ว ริมสวน ใน ขณะที่ สาย ลับ เข้า ไป ซื้อกัญชา จาก จำเลย โดย อยู่ ห่าง จาก กระท่อม ของ จำเลย 20 เมตร ส่วนร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ และ จ่าสิบตำรวจ ประภาส แอบ ซุ่ม อยู่ ที่ โรงเรียน บ้านเม็ง ห่าง จาก กระท่อม ของ จำเลย ประมาณ 200 เมตร ไม่รู้ และ ไม่เห็น ว่า สาย ลับ เข้า ไป ซื้อ กัญชา มาจาก จำเลย จริง หรือไม่หรือ ว่า เข้า ไป ซื้อ ใน ลักษณะ ใด เพราะ ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ เบิกความ ว่า พยาน กับพวก ซุ่ม อยู่ ที่ โรงเรียน บ้านเม็ง และ ได้ ให้ จ่าสิบตำรวจ สำเนียง เป็น ผู้ติดตาม ดู สาย ลับ ที่ ไป ล่อ ซื้อ หลังจาก นั้น ประมาณ 10 นาที สาย ลับ ก็ เข้า มา หา และ มอบ กัญชา ให้ พยาน 1 ถุงพร้อม กับ แจ้ง ว่า ซื้อ มาจาก นาย แดง ส่วน จ่าสิบตำรวจ ประภาส เบิกความ ว่า พยาน ให้ จ่าสิบตำรวจ สำเนียง ไป แอบ ซุ่ม ดู การ ล่อ ซื้อ อยู่ ที่ ข้าง กระท่อม หลังจาก นั้น ประมาณ 5 นาที สาย ลับ ก็ ขับขี่รถจักรยานยนต์ มา หา พยาน และ มอบ กัญชา ให้ ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ โดย ไม่ทราบ ว่า สาย ลับ ซื้อ กัญชา มาจาก ผู้ใด คดี นี้ โจทก์ ไม่ได้นำตัว สาย ลับ มา เบิกความ จึง ไม่ทราบ แน่ ว่า สาย ลับ เป็น ใคร และ สาย ลับได้ ซื้อ กัญชา ของกลาง (ถุง เล็ก ) มาจาก จำเลย จริง หรือไม่ จึง ต้อง พิจารณาคำเบิกความ ของ จ่าสิบตำรวจ สำเนียง ซึ่ง อ้างว่า เป็น ประจักษ์พยาน สำคัญ รู้เห็น เกี่ยวกับ การ ที่ สาย ลับ ไป ล่อ ซื้อ กัญชา มาจาก จำเลย แต่ ตามคำเบิกความ ของ จ่าสิบตำรวจ สำเนียง ว่า พยาน กับ สาย ลับ ขับขี่ รถจักรยานยนต์ คน ละ คัน ไป ถึง โรงเรียน บ้านเม็ง พยาน จอดรถ ไว้ ใน ป่า ข้าง โรงเรียน ส่วน สาย ลับ ขับขี่ รถจักรยานยนต์ เข้า ไป ใน กระท่อมที่ ต้อง สงสัย พยาน ไป แอบ ซุ่ม อยู่ ที่ รั้ว ริมสวน ห่าง กระท่อม ที่ ต้อง สงสัยประมาณ 20 เมตร ซุ่ม อยู่ ประมาณ 5 นาที เห็น สาย ลับ จอดรถ อยู่ที่ หน้า กระท่อม ยืน พูด คุย กับ จำเลย สาย ลับ ล้วง ธนบัตร จำนวน หนึ่ง มอบ ให้จำเลย แล้ว จำเลย ขับขี่ รถจักรยานยนต์ ของ สาย ลับ ออกจาก กระท่อม ไปโดย สาย ลับ นั่ง ซ้อน ท้าย นาน ประมาณ 5 นาที จำเลย ก็ ขับขี่ รถจักรยานยนต์มี สาย ลับ นั่ง ซ้อน ท้าย กลับมา ที่ กระท่อม จำเลย ลง จาก รถ แล้ว เดิน เข้ากระท่อม ส่วน สาย ลับ ขับขี่ รถจักรยานยนต์ ออกจาก กระท่อม ไป สักครู่ หนึ่งร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ กับพวก ขับ รถยนต์ เข้า มา ที่ กระท่อม พยาน จึง ออก มาจาก ที่ ซุ่ม ดู และ เข้า ไป สมทบ พบ จำเลย และ ผู้หญิง หนึ่ง คน กับชาย อีก หนึ่ง คน นั่ง อยู่ ใน กระท่อม พยาน เข้า ตรวจค้น ตัว จำเลย และ สอบถามจำเลย ว่า ได้ ขาย กัญชา ให้ สาย ลับ หรือไม่ ตอนแรก จำเลย ให้การ ปฏิเสธจาก คำเบิกความ ของ จ่าสิบตำรวจ สำเนียง ดังกล่าว เป็น ที่ เห็น ได้ว่า จ่าสิบตำรวจ สำเนียง เพียงแต่ เห็น สาย ลับ ยืน พูด คุย กับ จำเลย แล้ว สาย ลับ ล้วง ธนบัตร จำนวน หนึ่ง มอบ ให้ จำเลย แล้ว จำเลย ขับขี่ รถจักรยานยนต์ของ สาย ลับ โดย สาย ลับ นั่ง ซ้อน ท้าย ออก ไป จาก กระท่อม แล้ว ก็ ขับ รถจักรยานยนต์ กลับมา หลังจาก นั้น จำเลย ก็ เดิน เข้า กระท่อม ส่วน สาย ลับขับขี่ รถจักรยานยนต์ ออก ไป จาก กระท่อม เท่านั้น มิได้ รู้เห็น เลย ว่าจำเลย ขาย และ ส่งมอบ กัญชา ให้ สาย ลับ เมื่อใด และ มอบ ให้ ที่ ตรง ไหน จึง เป็นข้อ พิรุธ สงสัย เพราะ ไม่ทราบ แน่ชัด ว่า สาย ลับ ได้ กัญชา (ถุง เล็ก )ของกลาง มาจาก ผู้ใด คง ได้ความ จาก ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ เพียง คนเดียว ว่า สาย ลับ นำ กัญชา ดังกล่าว มา มอบ ให้ และ บอก ให้ พยาน ทราบ ว่าได้ ซื้อ กัญชา นั้น มาจาก นาย แดง ฉะนั้น เมื่อ โจทก์ ไม่ได้ นำ สาย ลับ มา เบิกความ สนับสนุน ยืนยัน ว่า ได้ ซื้อ กัญชา ดังกล่าว มาจาก จำเลย จริงแล้ว จะ ให้ เชื่อ คำเบิกความ ของ ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ ที่ ว่า ได้รับ มอบ กัญชา (ถุง เล็ก ) ดังกล่าว มาจาก สาย ลับ และ สาย ลับ ได้ ซื้อ กัญชาดังกล่าว มาจาก จำเลย ได้ อย่างไร ได้ ตรวจ คำเบิกความ ของ ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ แล้ว ก็ มี ข้อ พิรุธ หลาย ประการ เริ่ม ตั้งแต่ ที่ อ้างว่า ได้ นำ ธนบัตร ของกลาง ไป ลง ประจำวัน ไว้ เพื่อ เป็น หลักฐาน ว่า ได้ มอบ ให้สาย ลับ นำ ไป ล่อ ซื้อ ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 ซึ่ง มี ข้อความ ระบุ ไว้ ว่าพยาน เป็น ผู้นำ ธนบัตร ฉบับ ละ 100 บาท 2 ฉบับ และ ฉบับ ละ 20 บาท5 ฉบับ รวมเป็น เงิน 300 บาท ไป ลง ประจำวัน แต่ พยาน กลับ เบิกความว่า ได้ นำ ธนบัตร ฉบับ ละ 100 บาท และ ฉบับ ละ 20 บาท รวมเป็น เงินเท่าไร จำ ไม่ได้ นำ ไป ลง บันทึก ประจำวัน ไว้ เท่านั้น คำเบิกความ ที่ ไม่ ตรงกับ บันทึก ดังกล่าว จึง เป็น ข้อ พิรุธ สงสัย ยิ่ง ไป กว่า นั้น จ่าสิบตำรวจ สำเนียง กลับ เบิกความ ว่า พัน ตำรวจ ตรี ชนะ ศรีใหญ่ เป็น ผู้ มอบ ธนบัตร ให้ พยาน นำ ไป ลง บันทึก ประจำวัน ไว้ โดย พยาน เป็น ผู้ เขียน บันทึกเอกสาร หมาย จ. 1 นั้นเอง และ จำนวนเงิน กับ ชนิด ของ ธนบัตร ที่ ไป ลงบันทึก นั้น เป็น ธนบัตร ฉบับ ละ 100 บาท 1 ฉบับ และ ฉบับ ละ 20 บาทอีก กี่ ฉบับ จำ ไม่ได้ คำเบิกความ ของ พยานโจทก์ ทั้ง สอง จึง ขัดแย้ง กันอย่าง เห็น ได้ ชัด นอกจาก นี้ ศาลฎีกา ได้ ตรวจ คำให้การ ชั้นสอบสวน ของพยานโจทก์ ทั้ง สาม ปาก ดังกล่าว ซึ่ง ศาลชั้นต้น เรียก มาจาก โจทก์ ตามเอกสาร หมาย จ. 7 จ. 8 และ จ. 9 ปรากฏว่า ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ ให้การ ไว้ ว่า ได้ มอบ เงิน ให้ สาย ลับ ไป 160 บาท ขณะที่ ทำการ ล่อ ซื้อ นั้นพยาน พร้อม พวก ได้ แอบ ซุ่ม สังเกต การณ์ อยู่ ใน ละแวก ใกล้เคียง ที่เกิดเหตุโดย ไม่ได้ ความ แน่ชัด ว่า ซุ่ม อยู่ ตรง ที่ ใด แต่ ใน ชั้นพิจารณา พยาน ได้เบิกความ ว่า แอบ ซุ่ม อยู่ ที่ โรงเรียน บ้านเม็ง และ ได้ ให้การ กับ พนักงานสอบสวน อีก ว่า เมื่อ สาย ลับ ใช้ เงิน ที่ พยาน มอบ ให้ ไป ล่อ ซื้อ กัญชาจาก นาย แดงและนายแดง ได้รับ เงิน ไว้ แล้ว ได้ นำ ใส่ กระเป๋า กางเกง ด้านหน้า ข้าง ซ้าย แล้ว นำ กัญชา ใน ถุงพลาสติก 1 ถุง เล็ก มอบ ให้ สาย ลับพยาน พร้อม พวก ได้ เข้า ทำการ จับกุม จำเลย จาก คำให้การ ของ พยาน ดังกล่าวแสดง ว่า พยาน รู้เห็น ขณะที่ สาย ลับ ซื้อ กัญชา มาจาก จำเลย และ พยาน เข้า จับจำเลย ทันที ซึ่ง แตกต่าง กับ ที่ พยาน เบิกความ ต่อ ศาล ส่วน จ่าสิบตำรวจ สำเนียง ให้การ ว่า จุด ที่ พยาน ซุ่ม ดู อยู่ นั้น ห่าง จาก ที่เกิดเหตุ ประมาณ 10 เมตร เท่านั้น โดย ไม่ปรากฏ ว่า ซุ่ม ดู อยู่ ที่ รั้ว ริมสวนห่าง จาก ที่ จำเลย และ สาย ลับ ยืน พูด คุย กัน ประมาณ 20 เมตร ดัง ที่เบิกความ ต่อ ศาล สำหรับ จ่าสิบตำรวจ ประภาส ได้ ให้การ ไว้ ว่า พยาน กับพวก แอบ ซุ่ม ดู การ ล่อ ซื้อ อยู่ ห่าง ๆ สามารถ สังเกต การณ์ ได้ อย่างชัดเจน เมื่อ จำเลย มอบ กัญชา ให้ สาย ลับ พยาน กับพวก ได้ เข้า จับ จำเลยซึ่ง แตกต่าง กัน คำเบิกความ ของ พยาน ใน ชั้นพิจารณา ดังกล่าว ข้างต้น เช่นเดียว กัน เห็น ได้ว่า ใน ชั้นสอบสวน พยานโจทก์ ทั้ง สาม ให้การ ไว้ ว่า เป็น ผู้รู้เห็น สาย ลับ ทำการ ซื้อ กัญชา (ถุง เล็ก ) ของกลาง มาจาก จำเลย แต่ ตอนเบิกความ ต่อ ศาล ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ และ จ่าสิบตำรวจ ประภาส เบิกความ ว่า ไม่รู้ เห็น ตอน ที่ สาย ลับ ซื้อ กัญชา จาก จำเลย และ จับ จำเลยหลังจาก ที่ สาย ลับ นำ กัญชา มา มอบ ให้ พยาน แล้ว ฉะนั้น เมื่อ พยานโจทก์เบิกความ แตกต่าง กัน ใน ข้อ สาระสำคัญ แห่ง คดี จน เป็น ที่ เชื่อ ไม่ได้อีก ทั้ง โจทก์ ไม่ได้ นำ สาย ลับ มา เบิกความ เพื่อ พิสูจน์ ให้ เห็นว่า เป็นจริง ดัง ที่ โจทก์ ฟ้อง แม้ พยานโจทก์ ทั้ง สาม ได้ เบิกความ ยืนยัน ว่า ค้นพบธนบัตร ของกลาง ได้ จาก กระเป๋า กางเกง ด้านซ้าย ที่ จำเลย สวม ใส่ ในขณะ เกิดเหตุ ก็ ตาม แต่ เรื่อง ธนบัตร ของกลาง ได้ วินิจฉัย มา ข้างต้น แล้วว่า คำเบิกความ ของ ร้อยตำรวจเอก สุขสันต์ เบิกความ แตกต่าง กับ คำเบิกความ ของ จ่าสิบตำรวจ สำเนียง และ ขัด กับ บันทึก เอกสาร หมาย จ. 1 ประกอบ กับ จำเลย ให้การ และ นำสืบ ปฏิเสธ ใน ชั้น ศาล ว่าความ จริงธนบัตร ของกลาง นั้น เจ้าพนักงาน ตำรวจ ค้น ได้ จาก นาง เป้ ภรรยา ของ นาย หม่ำ ฉะนั้น แม้ โจทก์ ได้ นำสืบ ว่า จำเลย รับสารภาพ ใน ชั้น จับกุม และ สอบสวน ตาม บันทึก คำให้การ และ บันทึก จับกุม เอกสาร หมาย จ. 6 และจ. 3 ตามลำดับ ที่ ได้ ส่ง ศาล ไว้ ก็ ตาม เมื่อ พยานโจทก์ เบิกความ แตกต่างกัน ใน ข้อสำคัญ จน เป็น พิรุธ สงสัย ไม่ น่าเชื่อ ว่า จำเลย ได้ ขาย กัญชา ให้สาย ลับ ที่ พยานโจทก์ อ้างว่า สาย ลับ นำ กัญชา ของกลาง มา มอบ ให้ เสีย แล้วทำให้ พยานหลักฐาน ของ โจทก์ มี น้ำหนัก น้อย ขาด ความ เชื่อถือ ที่ โจทก์นำสืบ ว่า จำเลย รับสารภาพ ใน ชั้น จับกุม และ สอบสวน โดย มี บันทึก เอกสารหมาย จ. 3 และ จ. 6 เป็น หลักฐาน ดังกล่าว ก็ ไม่มี น้ำหนัก ให้ รับฟังฉะนั้น เกี่ยวกับ ข้อหา ว่า จำเลย จำหน่าย กัญชา จึง รับฟัง ไม่ได้ ปัญหาวินิจฉัย ต่อไป มี ว่า จำเลย ได้ มี กัญชา อีก 1 ถุง ใหญ่ ซึ่ง เป็น ของกลางอีก ส่วน หนึ่ง ที่ พยานโจทก์ ทั้ง สาม เบิกความ ว่า จำเลย ได้ นำ ไป ค้น ได้ที่ ใต้ กอง ฟาง ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย จริง หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ ดังกล่าว แล้ว ว่า กัญชา อีก 1 ถุง ค้นพบ ได้ ที่ ใต้ กอง ฟาง ห่าง จากกระท่อม ของ จำเลย 500 เมตร โดย โจทก์ นำสืบ ว่า หลังจาก พวก พยานโจทก์เข้า จับกุม และ ตรวจค้น ตัว จำเลย แล้ว ได้ สอบถาม จำเลย ว่า ยัง มี กัญชาอีก ไหม จำเลย บอก ว่า มี และ ได้ พา พยานโจทก์ ไป ค้นพบ กัญชา อีก 1ถุง ใหญ่ ซึ่ง ซ่อน อยู่ ใต้ กอง ฟาง ห่าง กระท่อม จำเลย 500 เมตร ฝ่าย จำเลยนำสืบ ว่า เมื่อ เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย และ นาง เป้ แล้ว นำตัว จำเลย กับ นาง เป้ ขึ้น รถ กระบะ ไป ที่ กอง ฟาง เจ้าพนักงาน ตำรวจ ให้ จำเลย ลง จาก รถ ส่วน นาง เป้ อยู่ บน รถ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ค้นพบ กัญชา แห้ง 1 ห่อ ซ่อน อยู่ ใต้ กอง ฟาง แล้ว ให้ จำเลย ลงชื่อ รับสารภาพ จำเลย ปฏิเสธว่า กัญชา ดังกล่าว ไม่ใช่ ของ จำเลย เจ้าพนักงาน ตำรวจ คนหนึ่ง ชื่อ ประสิทธิ์ ได้ ตบ หน้า จำเลย 1 ครั้ง แล้ว ถาม จำเลย อีก ว่า จะ รับ หรือ ไม่รับ จำเลย ตอบ ว่า ไม่รับ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ดังกล่าว ก็ เตะ ท้อง จำเลยอีก ใน ขณะ นั้น จำเลย ถูก สวม กุญแจ มือ ไข้วหลัง ใน ที่สุด จำเลย ก็ ยอมรับสารภาพ และ ลงชื่อ ใน เอกสาร ที่ บริเวณ กอง ฟาง ต่อมา ได้ ทราบ ว่าเจ้าพนักงาน ตำรวจ ได้ ปล่อย ตัว นาง เป้ ไป เนื่องจาก นาง เป้ ได้ ให้ เงิน แก่ เจ้าพนักงาน ตำรวจ 10,000 บาท พิเคราะห์ แล้ว เห็นว่าถ้า กัญชา ดังกล่าว เป็น ของ จำเลย จริง จำเลย ก็ คง ไม่ บอก ให้ พยานโจทก์ ทราบเพราะ เป็น การ ผิด วิสัย ของ ผู้กระทำผิด ทั่วไป ประกอบ กับ กัญชา ที่ ค้นพบตอนหลัง นี้ อยู่ ห่าง กระท่อม ของ จำเลย ถึง 500 เมตร ทั้ง ยัง ซุกซ่อน อยู่ใต้ กอง ฟาง นอกจาก นี้ ตาม รูปคดี พยานโจทก์ ก็ ยอมรับ ว่า ขณะที่จับ จำเลย นั้น มี ผู้หญิง คนหนึ่ง และ ผู้ชาย คนหนึ่ง อยู่ รวมกับ จำเลย จึงเป็น ข้อสงสัย ว่า เหตุใด พยานโจทก์ จึง ไม่นำ ผู้หญิง คน นั้น ซึ่ง จำเลยนำสืบ ว่า เป็น นาง เป้ ภรรยา ของ นาย หม่ำ ไป ให้ พนักงานสอบสวน สอบ ปากคำ ไว้ เป็น พยาน รวมทั้ง ชาย อีก คนหนึ่ง ดังกล่าว ด้วย เพื่อ จะ ได้ ช่วย พิสูจน์ให้ เห็นว่า เป็น จริง ดัง ที่ พยานโจทก์ กล่าวหา หรือ ว่า เป็น จริง ดัง ที่จำเลย ต่อสู้ จึง เป็นเหตุ พิรุธ สงสัย ไม่ น่าเชื่อ ว่า จำเลย ให้การรับสารภาพ โดย สมัครใจ ส่วน กัญชา ที่ ค้นพบ ใต้ กอง ฟาง ก็ ยัง มีเหตุ สงสัยไม่ น่าเชื่อ เช่นกัน ว่า เป็น ของ จำเลย ต้อง ยก ประโยชน์ แห่ง ความ สงสัยให้ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองโดย ไม่จำต้อง วินิจฉัย พยานหลักฐาน ของ จำเลย อีก ต่อไป เมื่อ ข้อเท็จจริงฟัง ไม่ได้ ว่า จำเลย ได้ กระทำผิด จริง ตาม ฟ้อง แล้ว ก็ ไม่ต้อง วินิจฉัยฎีกา ของ โจทก์ เช่นกัน ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษา มา นั้น ศาลฎีกาไม่เห็น พ้อง ด้วย ฎีกา จำเลย ฟังขึ้น ”
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share