คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นทหารประจำการ แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่าจำเลยสมคบกับพวกกระทำผิดกฎหมาย โดยโจทก์ไม่ยืนยันว่าพวกจำเลยเป็นทหารหรือพลเรือนและชั้นพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม เมื่อคดีไม่มีหลักฐานว่าพรรคพวกของจำเลยเป็นบุคคลอยู่ในอำนาจศาลทหารแล้ว คดีก็ต้องขึ้นศาลฝ่ายพลเรือนและแม้จะปรากฎตามทางพิจารณาในภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ก็ให้ศาลพลเรือนมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้
(อ้างฎีกาที่ 463/2504)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นทหารประจำการสังกัดกองร้อยสารวัตรจังหวัดทหารบกพิษณุโลก ได้บังอาจสมคบกับพวกที่หลบหนีอีกหลายคนซึ่งไม่ทราบแน่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน มีฝิ่นดิบ ฝิ่นสุก มอร์ฟีน ไว้ในความครอบครอง รวมทั้งปืนคาร์บอนพร้อมด้วยกระสุน ลูกระเบิดขว้าง ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามโจทก์ฟ้อง จำคุกจำเลย ๑๐ ปี ปรับ ๖๐,๗๘๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นทหาร บังอาจสมคบกับพวกที่หลบหนีอยู่อีกหลายคนซึ่งไม่ทราบแน่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือนกระทำผิดต่อกฎหมาย
ในชั้นนี้มีปัญหาว่า พวกของจำเลยที่หลบหนีอยู่อีกหลายคนนั้น แม้ในชั้นพิจารณาจะไม่ปรากฏเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม ก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะฟังว่าพวกของจำเลยตามฟ้องโจทก์จะต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร จะเป็นคดีอยู่ในอำนาจศาลทหารก็จะต้องให้ได้ความชัดว่าบุคคลนั้นอยู่ในอำนาจศาลทหาร เมื่อคดีนี้ไม่มีหลักฐานใดแสดงให้เห็นได้ว่าพรรคพวกของจำเลยเป็นบุคคลอยู่ในอำนาจศาลทหารแล้ว คดีก็ต้องขึ้นศาลฝ่ายพลเรือน แม้จะปรากฎตามทางพิจารณาในภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศสาลทหารก็ให้ศาลพลเรือนมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ตามความในมาตรา ๑๕ วรรคสองแห่งพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดโดยมติที่ประชุมใหญ่ ตามฎีกาที่ ๔๖๓/๒๕๐๔ แล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน

Share