แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การครอบครองที่ดินของผู้อื่นจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 นั้น ผู้ครอบครองต้องครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี การที่จะพิจารณาว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ จึงต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการเข้ายึดถือครอบครองอยู่อาศัยของจำเลยในที่ดินพิพาทว่าเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของหรือไม่
ที่ดินของโจทก์มีผู้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยจำนวนมากจนเป็นชุมชนแออัด สถาพบ้านที่ปลูกอยู่กันอย่างแออัด มีลักษณะไม่แน่นหนาถาวร ใช้สังกะสีและไม้เก่ามาปลูกสร้าง สามารถปลูกสร้างต่อเติมและรื้อถอนได้โดยง่าย สภาพบ้านของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทมีลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียวอยู่ในสภาพไม่แน่นหนาถาวร ฝากั้นด้วยไม้และสังกะสีเก่า หลังคามุงด้วยสังกะสีเก่า มีสภาพต้องซ่อมแซมบ่อย ลักษณะการปลูกสร้างอยู่เบียดเสียดแทรกอยู่กับบ้านหลังอื่น ไม่มีแนวเขตที่ชัดเจน ตัวบ้านไม่มั่นคงแข็งแรง การปลูกสร้างเข้าลักษณะเป็นการปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัยชั่วคราว พร้อมที่จะรื้อถอน ซึ่งการเข้ามาปลูกบ้านในลักษณะนี้เป็นการกระทำโดยพลการ อาศัยโอกาสที่ผู้บุกรุกเข้ามาปลูกสร้างบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์จำนวนมาก จึงยากในการตรวจสอบว่าเป็นบ้านของใคร และแม้บ้านของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทมีเลขที่บ้านและได้ขอติดตั้งน้ำประปาและไฟฟ้า และจำเลยแสดงแก่บุคคลทั่วไปว่าบ้านดังกล่าวเป็นของจำเลย แต่จำเลยเพียงแต่นำบ้านเลขที่เดิมของบิดามารดาของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทและอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ ซึ่งบิดามารดของจำเลยรื้อถอนบ้านไปแล้วมาใช้เป็นเลขที่บ้านของจำเลยที่จำเลยและบิดามารดาของจำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกอาศัยในที่ดินพิพาทของโจทก์ พฤติกรรมของจำเลยที่ปิดบังอำพรางให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าบ้านของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทมีบ้านเลขที่ 809 ทั้งที่บ้านของจำเลยไม่มีเลขที่ประจำบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่การประปานครหลวงและเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงหลงเชื่อมาติดตั้งประปาและไฟฟ้าให้แก่บ้านจำเลย ประกอบกับจำเลยไม่เคยอ้างสิทธิในที่ดินพิพาทเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่หรือภาษีโรงเรือนและจำเลยไม่ได้ร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ทั้งที่จำเลยอ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2514 แต่จำเลยเพิ่งมาฟ้องแย้งขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เมื่อถูกฟ้องขับไล่คดีนี้ จึงยังไม่แน่ชัดว่าก่อนหน้านี้จำเลยมีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์อย่างเป็นเจ้าของ พฤติการณ์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ย่อมไม่อาจยกข้ออ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทและจดทะเบียนรับโอนมาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ และปรับสภาพที่ดินทั้งสองแปลงให้เรียบร้อย ให้จำเลยและบริวารร่วมกันใช้ค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอเสร็จสิ้น
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองปลูกสร้างบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1445 เนื้อที่ 36 ตารางวา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของจำเลยและบริวารบนที่ดินพิพาทในโฉนดเลขที่ 1445 พร้อมปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย และขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 10,000 บาท กับค่าเสียหายรายเดือนอีกเดือนละ 1,000 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 26 ธันวาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1445 และ 2340 ตำบลบางปะกอก (บางปะแก้วนอก) อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ดินติดกันรวม 10 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา โดยซื้อที่ดินทั้งสองแปลงมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2534 จำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 36 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1445 ตามแผนที่วิวาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ จำเลยนำสืบว่า เมื่อปี 2514 จำเลยและบิดามารดาของจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์ โดยนำเลขที่บ้านเดิมของบิดามารดาของจำเลยคือเลขที่ 809 มาใช้เป็นเลขที่บ้านของจำเลยเพื่อขออนุญาตใช้น้ำประปาและไฟฟ้าสำหรับบ้านของจำเลย จำเลยปลูกสร้างและซ่อมแซมบ้านของจำเลยโดยไม่ได้ขออนุญาตผู้ใดแม้แต่ทางราชการ เห็นว่า การครอบครองที่ดินของผู้อื่นจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น ผู้ครอบครองต้องครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ดังนั้น การที่จะพิจารณาว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ จึงต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการเข้ายึดถือครอบครองอยู่อาศัยของจำเลยในที่ดินพิพาทว่าเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงมีผู้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยจำนวนมากจนเป็นชุมชนแออัด ซึ่งตามภาพถ่ายทางอากาศของกรมที่ดิน ภาพถ่ายของกรมแผนที่ทหารที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2534 และภาพถ่ายสภาพบ้านที่ปลูกอยู่กันอย่างแออัด มีลักษณะไม่แน่นหนาถาวร ใช้สังกะสีและไม้เก่ามาปลูกสร้าง สามารถปลูกสร้างต่อเติมและรื้อถอนได้โดยง่าย สภาพบ้านของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทมีลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียว อยู่ในสภาพไม่แน่นหนาถาวร ฝากั้นด้วยไม้และสังกะสีเก่า หลังคามุงด้วยสังกะสีเก่า มีสภาพที่ต้องซ่อมแซมบ่อย ลักษณะการปลูกสร้างอยู่เบียดเสียดแทรกอยู่กับบ้านหลังอื่น ไม่มีแนวเขตที่ชัดเจน ตัวบ้านไม่มั่นคงแข็งแรง การปลูกสร้างเข้าลักษณะเป็นการปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัยชั่วคราว พร้อมที่จะรื้อถอน ซึ่งการเข้ามาปลูกบ้านในลักษณะนี้เป็นการกระทำโดยพลการ อาศัยโอกาสที่มีผู้บุกรุกเข้ามาปลูกสร้างบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์จำนวนมาก จึงยากในการตรวจสอบว่าเป็นบ้านของใคร แม้จำเลยอ้างว่าบ้านของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาท มีเลขที่บ้านคือบ้านเลขที่ 809 จำเลยขอติดตั้งน้ำประปาและไฟฟ้าโดยอาศัยเลขที่บ้านดังกล่าวและจำเลยแสดงแก่บุคคลทั่วไปว่าบ้านดังกล่าวเป็นของจำเลย แต่จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยเพียงแต่นำบ้านเลขที่เดิมของบิดามารดาของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่ามาจากเจ้าของโรงงานก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทและอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ เมื่อบิดามารดาของจำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวในปี 2514 จำเลยและบิดามารดาของจำเลยจึงบุกรุกเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ และใช้บ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นบ้านเลขที่ของจำเลยในที่ดินพิพาท พฤติกรรมของจำเลยที่ปิดบังอำพรางให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าบ้านของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทคือบ้านเลขที่ 809 ทั้งที่บ้านของจำเลยไม่มีเลขที่ประจำบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่การประปานครหลวงและเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงเชื่อมาติดตั้งประปาและไฟฟ้าให้แก่บ้านจำเลย ประกอบกับจำเลยไม่เคยอ้างสิทธิในที่ดินพิพาทเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่หรือภาษีโรงเรือน และจำเลยไม่ได้ร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ทั้งที่จำเลยอ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2514 แต่จำเลยเพิ่งมาฟ้องแย้งขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เมื่อถูกฟ้องขับไล่คดีนี้ จึงยังไม่แน่ชัดว่าก่อนหน้านี้จำเลยมีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์อย่างเป็นเจ้าของ พฤติการณ์ของจำเลยยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตและจดทะเบียนรับโอนมาโดยไม่สุจริตจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยนั้น เห็นว่า ปัญหาตามฎีกาของจำเลยต้องเป็นเรื่องจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เพราะมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามที่วินิจฉัยมาแล้ว จำเลยจึงไม่อาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน