แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่จำเลยจะร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย และคดีถึงที่สุดไปแล้วก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายอาญา คือวันที่ 1 ม.ค. 2500 ถ้าคดีของจำเลยมาถึงที่สุดลง เมื่อประมวลกฎหมายอาญาได้ออกใช้เสียแล้ว กรณีก็ไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 3 (1) แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ศาลจะแก้กำหนดโทษเสียใหม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงความหนักเบาของโทษตามกฎหมายเก่าใหม่แต่อย่างใดด
ย่อยาว
จำเลยทั้งสองถูกศาลพิพากษาให้จำคุกคนละ ๖ ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๒๗ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕ และมาตรา ๓๐๔ คดีถึงที่สุดภายหลังที่ประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว
ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษของจำเลยทั้งสองเสียใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ (๑) โดยอ้างว่า ความผิดของจำเลยต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ ประกอบด้วย มาตรา ๒๖๔ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือถ้าประกอบด้วย มาตรา ๒๖๕ ก็มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี เท่านั้น
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสอง ให้ยกคำร้องของจำเลย
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกามีว่า ที่จำเลยทั้งสองร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ (๑) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย และคดีถึงที่สุดไปแล้วก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายอาญา คือ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๐ แต่กรณีของจำเลยทั้งสองหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ กล่าวคือ คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาได้พิพากษาเมื่อได้ใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ส่วนจำเลยที่ ๒ ซึ่งคดียุติเพียงชั้นศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ได้อ่านให้จำเลยที่ ๒ ฟังเมื่อได้ใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้วเช่นกัน หากจำเลยที่ ๒ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์มิได้ใช้ประมวลกฎหมายอาญาลงโทษให้เป็นคุณแก่จำเลย จำเลยที่ ๒ ก็ชอบที่จะยื่นฎีกาคัดค้านเสียในชั้นนั้น แต่จำเลยที่ ๒ ก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ เมื่อคดีของจำเลยทั้งสองมาถึงที่สุดลงเมื่อประมวลกฎหมายอาญาได้ออกใช้เสียแล้ว กรณีก็ไม่อยู่ในบังคับ มาตรา ๓ (๑) แห่งประมวลกฎหมาย อาญาที่ศาลจะแก้กำหนดโทษเสียใหม่ได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึงความหนักเบาของโทษของจำเลยตามกฎหมายเก่าใหม่แต่อย่างใด