แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีเพียงมาตรา 15 ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้รับประกันภัยกำหนดเงื่อนไขความรับผิดในส่วนที่เกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นแตกต่างไปจากบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวที่ว่า “กรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งมีข้อความระบุถึงความรับผิดของบริษัทแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ใน บทแห่งพระราชบัญญัตินี้ บริษัทจะยกเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อผู้ประสบภัยในการชดใช้ค่าเสียหาย เบื้องต้นมิได้” เท่านั้น มิได้มีบทบัญญัติอื่นใดห้ามการตกลงกำหนดเงื่อนไขความรับผิดระหว่างผู้รับประกันภัยและ ผู้เอาประกันภัยในกรณีอื่น ๆ ไว้แต่ประการใด และตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 16 ข้อสัญญาพิเศษที่ระบุว่า โจทก์จะไม่ยกเอาข้อยกเว้นความรับผิดตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์เป็นข้อต่อสู้ผู้ประสบภัยเพื่อปฏิเสธความรับผิด ตามกรมธรรม์อันไม่เป็นการแตกต่างขัดกันกับบทบัญญัติมาตรา 15 ดังกล่าว ดังนั้น เงื่อนไขข้อยกเว้นความรับผิด ตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 15.10 ที่ว่า การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกินกว่า 180 วัน หรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิ ตามกฎหมายในการขับรถในเวลาเกิดอุบัติเหตุ จึงไม่ขัดต่อเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.คุ้มครอง ผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 15.10 โดยยินยอมให้ ส. ซึ่ง ไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์เป็นผู้ขับรถในขณะเกิดเหตุ และโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ บ. ผู้ประสบภัยไปตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยจึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ตามเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๔๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวน ๔๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยให้คิดจากต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๐ – ๓๘๘๐ สกลนคร จากจำเลยผู้เอาประกันภัย เริ่มต้นวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๘ ถึงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๙ ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. ๔ มีข้อตกลงในข้อ ๑๕ ว่า ข้อยกเว้น การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก ๑๕.๑๐ การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกินกว่า ๑๘๐ วัน หรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายในการขับรถในเวลาเกิดอุบัติเหตุ และในข้อ ๑๖ ว่า ข้อสัญญาพิเศษ ภายใต้จำนวนเงินคุ้มครองผู้ประสบภัยที่ระบุไว้ในตาราง บริษัทจะไม่ยกเอาความไม่สมบูรณ์แห่งกรมธรรม์หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย หรือเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์นี้ เว้นแต่ข้อ ๑๕.๑ – ๑๕.๖ เป็นข้อต่อสู้ผู้ประสบภัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์นี้ เมื่อบริษัทได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วแต่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายหรือตามกรมธรรม์นี้ต่อผู้เอาประกันภัย เพราะกรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ ผู้เอาประกันภัยต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนให้บริษัททันที ต่อมาวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ นายสมบัติ ไม่ทราบนามสกุล ลูกจ้างของจำเลยซึ่งไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวโดยประมาทชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายเชิญ อินตัน เป็นผู้ขับ เป็นเหตุให้นายเชิญถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๙ โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นางบุญโฮม อินตัน มารดาของนายเชิญ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. ๒๕๓๕ คงมีเพียงมาตรา ๑๕ ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้รับประกันภัยกำหนดเงื่อนไขความรับผิดในส่วนที่เกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นแตกต่างไปจากบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ว่า “กรมธรรม์ประกันภัย
ซึ่งมีข้อความระบุถึงความรับผิดของบริษัทแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ บริษัทจะยกเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อผู้ประสบภัยในการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นมิได้” เท่านั้น มิได้มีบทบัญญัติอื่นใดห้ามการตกลงกำหนดเงื่อนไขความรับผิดระหว่างโจทก์ผู้รับประกันภัยและจำเลยผู้เอาประกันภัยในกรณีอื่น ๆ ไว้แต่ประการใด ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. ๔ ข้อ ๑๖ ข้อสัญญาพิเศษก็ระบุว่า โจทก์จะไม่ยกเอาข้อยกเว้นความรับผิดตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์เป็นข้อต่อสู้ผู้ประสบภัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์อันไม่เป็นการแตกต่างขัดกันกับบทบัญญัติมาตรา ๑๕ ดังกล่าว เงื่อนไขข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. ๔ ข้อ ๑๕.๑๐ จึงไม่ขัดต่อเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ ๑๕.๑๐ ดังกล่าวโดยยินยอมให้นายสมบัติซึ่งไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์เป็นผู้ขับรถในขณะเกิดเหตุ และตามคำฟ้องของโจทก์ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดในฐานผิดสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๑ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงตามมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวดังที่จำเลยฎีกาอีกเช่นกัน โจทก์ซึ่งได้ชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นางบุญโฮมไปตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยจึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. ๔ ข้อ ๑๖
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.