คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ลูกจ้างของผู้ร้องซึ่งอยู่ที่สำนักทำการงานของผู้ร้องมีอายุเกิน 20 ปี ได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านไว้เมื่อวันที่ 23ธันวาคม 2531 จึงถือได้ว่ามีการส่งหนังสือทวงหนี้ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิ,76 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119,153ดังนี้ ผู้ร้องชอบที่จะปฏิเสธหนี้ต่อผู้คัดค้านภายใน 14 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับหนังสือทวงหนี้ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 6 มกราคม2532 โดยวันดังกล่าวมิใช่วันหยุดราชการ เมื่อผู้ร้องทำหนังสือปฏิเสธหนี้ถึงผู้คัดค้านในวันที่ 9 มกราคม 2532 ซึ่งเกินกำหนด14 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงหนี้ของผู้คัดค้าน ต้องถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามจำนวนที่ผู้คัดค้านแจ้งไปเป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 119 วรรคแรก

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ยื่นหนังสือปฏิเสธหนี้ต่อผู้คัดค้านแล้วภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องได้รับแจ้งความจากผู้คัดค้าน แต่ผู้คัดค้านไม่สอบสวน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 กลับทิ้งค้างเรื่องไว้นานถึง2 ปีเศษแล้ว ขอให้ศาลออกคำบังคับแก่ผู้ร้อง เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งยกเลิกคำบังคับและให้ผู้คัดค้านทำการสอบสวนหนี้ตามที่ผู้ร้องปฏิเสธไว้ตามมาตรา 119 ต่อไป
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านมีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องโดยให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินจำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้คัดค้าน ซึ่งผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยชอบเมื่อวันที่ 23ธันวาคม 2531 และได้มีหนังสือปฏิเสธหนี้ต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 9มกราคม 2532 เป็นการปฏิเสธหนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลา 14 วันนับแต่ได้รับหนังสือทวงหนี้ ผู้คัดค้านจึงหาจำต้องหมายนัดสอบสวนพยานฝ่ายผู้ร้องต่อไปไม่และเมื่อผู้ร้องไม่ชำระหนี้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงชอบที่จะขอต่อศาลให้ออกคำบังคับให้ผู้ร้องชำระหนี้ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่าผู้ร้องปฏิเสธหนี้ต่อผู้คัดค้านภายในกำหนด 14 วัน นับแต่ได้รับหนังสือทวงหนี้ของผู้คัดค้านหรือไม่ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคล มีนายพิสิษฐ์ กมลวารินทร์ หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้กระทำการแทนผูกพันผู้ร้องได้ตามกฎหมาย การที่จะถือว่าผู้ร้องได้รับทราบหนังสือทวงหนี้ของผู้คัดค้านได้นั้น ผู้แทนจะต้องได้รับหนังสือนั้นด้วยตนเอง จึงจะมีผลผูกพันว่าผู้ร้องได้รับทราบการทวงหนี้จากผู้คัดค้านแล้ว กำหนด 14 วัน จึงควรเริ่มนับนั้นเห็นว่า การที่ผู้คัดค้านปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคแรก นี้ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการส่งคำคู่ความหรือเอกสารไว้โดยเฉพาะมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม จึงต้องพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เรื่อง การยื่นและส่งคำคู่ความและเอกสารตามมาตรา 73 ทวิ ที่บัญญัติว่า “คำคู่ความหรือเอกสารที่เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งไม่ว่าการส่งนั้นจะเป็นหน้าที่ของศาลจัดการส่งเองหรือคู่ความมีหน้าที่จัดการนำส่งก็ตาม ศาลอาจสั่งให้ส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ กรณีเช่นนี้ให้ถือว่าคำคู่ความหรือเอกสารที่ส่งโดยเจ้าพนักงานไปรษณีย์มีผลเสมือนเจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่ง และให้นำบทบัญญัติมาตรา 76 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”และมาตรา 76 บัญญัติว่า “เมื่อเจ้าพนักงานศาลไม่พบคู่ความหรือบุคคลที่จะส่งคำคู่ความหรือเอกสาร ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของบุคคลนั้น ๆ ถ้าได้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารให้แก่บุคคลใด ๆที่มีอายุเกินยี่สิบปี ซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนหรือที่สำนักทำการงานที่ปรากฏว่าเป็นของคู่ความหรือบุคคลนั้น ให้ถือว่าเป็นการเพียงพอที่จะฟังได้ว่าได้มีการส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว” เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางปรียานุชลูกจ้างของผู้ร้องซึ่งอยู่ที่สำนักทำการงานของผู้ร้องมีอายุเกิน20 ปี ได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านไว้เมื่อวันที่ 23ธันวาคม 2531 ตามใบไปรษณีย์ตอบรับเอกสารหมาย ค.2 ซึ่งถือได้ว่ามีการส่งหนังสือทวงหนี้ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิ, 76 แต่อย่างไรก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านในวันที่ส่งนั้นผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่า ตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนด ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องนำสืบมาได้ความจากนายพิสิษฐ์ หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องว่า ตนได้โทรศัพท์จากจังหวัดลำปางมาสั่งงานที่ห้างของผู้ร้องเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 ก็ทราบจากนางปรียานุชว่ามีหนังสือทวงหนี้มายังผู้ร้อง แต่นางปรียานุช กลับเบิกความว่าหนังสือที่ผู้คัดค้านส่งมาให้ผู้ร้อง พยานไม่ได้เปิดดู ได้เก็บไว้ เมื่อผู้จัดการกลับมาจากจังหวัดลำปาง ประมาณวันที่ 27 ธันวาคม 2531พยานจึงมอบหนังสือดังกล่าวให้ผู้จัดการไป คำเบิกความของนายพิสิษฐ์จึงขัดแย้งกับคำเบิกความของนางปรียานุช เพราะนางปรียานุชไม่ได้เบิกความยืนยันเลยว่า นายพิสิษฐ์ได้โทรศัพท์มาสั่งงานที่ห้างผู้ร้อง และนางปรียานุชแจ้งให้นายพิสิษฐ์ทราบว่ามีหนังสือทวงหนี้มายังผู้ร้อง คำเบิกความของนายพิสิษฐ์และนางปรียานุชจึงมีข้อพิรุธ ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่านายพิสิษฐ์อยู่ ณ สำนักทำการงานของผู้ร้องในวันที่ 23 ธันวาคม2531 และทราบข้อความในหนังสือทวงหนี้ของผู้คัดค้านที่นางปรียานุชได้รับไว้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 73 ทวิ, 76 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 119 แล้วในวันนั้น ดังนี้ ผู้ร้องชอบที่จะปฏิเสธหนี้ต่อผู้คัดค้านภายใน 14 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับหนังสือทวงหนี้อันเป็นการนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 ซึ่งจะครบกำหนด 14 วัน ในวันที่ 6 มกราคม 2532 โดยวันดังกล่าวมิใช่วันหยุดทำการ เมื่อผู้ร้องทำหนังสือปฏิเสธหนี้ถึงผู้คัดค้านในวันที่ 9 มกราคม 2532 จึงเกินกำหนด 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงหนี้ของผู้คัดค้าน ต้องถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามจำนวนที่ผู้คัดค้านแจ้งไปเป็นการเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share