คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดาต้องรับผิดฐานละเมิดร่วมกับผู้เยาว์ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล
มารดาเห็นบุตรถือปืน จึงว่ากล่าวตักเตือนบุตรไม่เชื่อฟัง กลับเอาปืนไปซ่อนเสีย พอลับหลังมารดาก็เอาปืนมาเล่นอีก ถือว่า การว่ากล่าวตักเตือนของมารดาเพียงเท่านี้ หาเพียงพอกับการที่จะต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลของตนในฐานะเป็นมารดาไม่ มารดาจึงต้องร่วมรับผิดในการที่บุตรประมาทเลินเล่อเอาปืนยิงผู้อื่นตาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ฐานประมาทเลินเล่อใช้ปืนยิงบุตรโจทก์ตาย และฟ้องขอให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมรับผิดในฐานะเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีอายุ ๑๗ ปี อยู่ในความปกครองของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่า ได้ทำให้บุตรโจทก์ตายจริง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การปฏิเสธความรับผิด
จำเลยทั้งสามให้การต้องกันต่อสู้ในเรื่องค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้อง
ในชั้นพิจารณา คู่ความรับกันในเรื่องค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ ได้ความว่า ไม่เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ จึงให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๓ ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล จำเลยที่ ๑ แล้ว จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ อายุ ๑๗ ปี เป็นบุตรอยู่ในความปกครองของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นมารดา ได้ยิงปืนแก๊ปโดยประมาท เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ตาย ปัญหาว่า จำเลยที่ ๓ ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลของตนในฐานะเป็นมารดาจำเลยที่ ๑เพียงใดนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยที่ ๓ เห็นจำเลยที่ ๑ ถือปืน จำเลยที่ ๓ ก็ว่ากล่าวตักเตือน จำเลยที่ ๑ ไม่เชื่อฟัง กลับเอาปืนไปซ่อนเสีย พอลับหลังจำเลยที่ ๑ ก็เอาปืนมาเล่นอีกเช่นนี้นั้น ถือว่า การว่ากล่าวตักเตือนของจำเลยที่ ๓ หาเพียงพอกับการที่จะต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลของตน ในฐานะเป็นมารดาจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีปืนอันเป็นอาวุธที่ร้ายแรงไว้ในความครอบครองไม่ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น.

Share