คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินมาตั้งแต่แรก การที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรองว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะเปลี่ยน น.ส.3 ให้โจทก์และจะค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุการณ์ในภายหน้าที่จำเลยที่ 1 รับจะดำเนินการดังกล่าวให้ หากโจทก์ไม่พอใจในหลักประกัน แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่เปลี่ยนน.ส.3 และไม่ยอมค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่1 ไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่ให้ไว้แก่โจทก์เท่านั้น จำเลยที่1 ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 จะต้องเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น โจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาไปจากโจทก์ เป็นของจำเลยที่ 2 และที่3 เองจึงมิใช่เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 341,188, 91, 90
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วมีคำสั่งว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงโจทก์ว่าหาก น.ส.3 ของจำเลยที่ 2และที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้ไว้เป็นประกันเงินกู้ไม่เพียงพอจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเปลี่ยน น.ส.3 ให้กับจำเลยที่ 2 และที่3 จะเป็นผู้ค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 แต่ต่อมาจำเลยที่ 2 และที่ 3 กลับไม่ยอมเปลี่ยน น.ส.3 และไม่ยอมค้ำประกันจำเลยที่ 1 นั้นเห็นว่าตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรองว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเปลี่ยนน.ส.3 ให้โจทก์และจะค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 ก็เป็นเหตุการณ์ในภายหน้าที่ว่าหากโจทก์ไม่พอใจในหลักประกันจำเลยที่ 1 ก็รับจะดำเนินการให้ดังกล่าว การที่ต่อมาจำเลยที่2 และที่ 3 ไม่เปลี่ยน น.ส.3 และไม่ยอมค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่ให้ไว้แก่โจทก์ทั้งสองเท่านั้นหาทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดฐานฉ้อโกงไม่
ส่วนความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 นั้นเห็นว่าความผิดตามมาตรานี้จะต้องเป็นการทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้นเอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น ดังนั้นข้อสำคัญประการหนึ่งจึงอยู่ที่ว่าเอกสารนั้นเป็นของใครแต่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่า น.ส.3 ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาไปจากโจทก์นั้นเป็นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เองจึงมิใช่เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงยังไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188
พิพากษายืน.

Share