คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุตรผู้เสียหายต้องหาว่าลักทรัพย์บุคคลอื่น จำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านรับจะช่วยเหลือให้หลุดพ้นแต่ต้องให้เงินแก่จำเลยเพื่อเอาไปให้พนักงานสอบสวน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงให้เงินแก่จำเลย โดยประสงค์ที่จะให้บุตรของตนไม่ต้องรับโทษนั้น เข้าลักษณะเป็นการที่ผู้เสียหายใช้ให้จำเลยไปกระทำผิด จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ ให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อส่วนตัวได้
แต่พนักงานอัยการย่อมมีสิทธิดำเนินคดีขอให้ลงโทษจำเลยฐานเรียกเอาเงินเพื่อจะเอาไปจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของจำเลยเพื่อไม่ให้กระทำการอันเป็นโทษแก่บุตรผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 อันเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ได้บอกกับนางตุ้งหลิงวิไลย ว่านายสำรองบุตรชายนางตุ้งหลิงไปลักตัดใบข้าวของนายหยัดจำเลยรับจะช่วยเหลือเพราะคุ้นเคยกับพนักงานสอบสวน แต่ต้องให้เงินจำเลย 800 บาท เพื่อจะเอาไปให้พนักงานสอบสวนเจ้าของเรื่องช่วยเหลือนางตุ้งหลิงหลงเชื่อมอบเงิน 800 บาทให้ จำเลยรับไปโดยจำเลยมิได้ช่วยเหลือประการใด ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143, 341 กับให้จำเลยคืน หรือใช้เงิน 800 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดดังฟ้อง พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ซึ่งเป็นบทหนัก โดยให้จำคุกจำเลยไว้ 8 เดือน ส่วนเงินที่ผู้เสียหายให้จำเลยไป 800 บาทนั้น โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้แก่ผู้เสียหาย จึงให้ยกคำขอนี้เสีย

จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานโจทก์ยังไม่เป็นหลักฐานมั่นคง พยานจำเลยนำสืบตามข้อต่อสู้มีเหตุน่าเชื่อว่าเป็นความจริง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของผู้เสียหายในคดีนี้เป็นการร่วมกระทำกับจำเลยในการที่จะนำเงินไปให้เจ้าพนักงาน และการที่ผู้เสียหายกระทำไปนั้นก็โดยประสงค์ที่จะให้บุตรของตนไม่ต้องโทษเข้าลักษณะเป็นการที่ผู้เสียหายใช้ให้จำเลยไปกระทำผิดตามบทบัญญัติในมาตรา 85 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อส่วนตัวได้ ฟ้องของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ศาลไม่อาจรับพิจารณาให้ได้

ส่วนข้อหาของโจทก์ที่จะให้ลงโทษจำเลยฐานเรียกเอาเงินเพื่อจะเอาไปจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของจำเลย เพื่อไม่ให้กระทำการอันเป็นโทษแก่บุตรผู้เสียหายนั้นโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 143 อันเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดินและเป็นความผิดคนละบทมาตราคนละฐานกับความผิดฐานฉ้อโกง พนักงานอัยการย่อมมีสิทธิดำเนินคดีฟ้องร้องขอให้ลงโทษจำเลยได้

ด้วยเหตุดังวินิจฉัยมา ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ส่วนโทษนั้นคงให้ลงโทษจำคุกจำเลย 8 เดือน

Share