คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9661/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศ. ใช้ให้จำเลยนำเงินไปซื้อเมทแอมเฟตามีน การที่จำเลยนำเงินไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมามอบให้ ศ. ถือได้ว่าจำเลยร่วมกับ ศ. มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานสนับสนุนการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น จึงไม่ถูกต้องแม้โจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็ปรับบทลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ แต่จะเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีอื่น แต่คดีอื่นถึงที่สุดแล้ว คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 6 ปี และปรับ 300,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2548 เวลา 13 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจประจำด่านตรวจบ้านห้วยยะอุ ตำบลด่านแม่ละเมา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จับกุมนายศิริวัฒน์ หรือเมืองจันทร์ และนางสาวบังอร ซึ่งเป็นสามีภริยากันพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน จำนวน 196 เม็ด น้ำหนัก 18.19 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 5.045 กรัม เป็นของกลาง นายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรกระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4666/2548 ของศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2548 และวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายอนันต์หรือหมู และจำเลยได้ตามลำดับ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายอนันต์มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของนายศิริวัฒน์และนางสาวบังอร คดีสำหรับนายอนันต์ถึงที่สุดแล้ว
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของนายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกกมล และดาบตำรวจอดิศร ผู้ร่วมตรวจค้นและจับกุมนายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรเป็นพยานต่างเบิกความยืนยันว่า เมื่อจับกุมนายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนแล้ว ทั้งสองให้การว่าในการเดินทางมาซื้อเมทแอมเฟตามีน นายศิริวัฒน์ได้มอบเงิน 10,500 บาท ให้จำเลยซึ่งเป็นมารดาไปซื้อมาให้ ต่อมาจำเลยได้นำเมทแอมเฟตามีนมามอบให้นายศิริวัฒน์ ซึ่งร้อยตำรวจเอกกมลได้บันทึกรายละเอียดไว้ในบันทึกการจับกุม และพันตำรวจโทธนารักษ์ พนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่า ในชั้นสอบสวนนางสาวบังอรและนายศิริวัฒน์ก็ให้การเช่นเดียวกับชั้นจับกุมตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา จึงได้ยื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับจำเลย เห็นว่า นายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรให้การทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในวันเดียวกันในทันที ซึ่งได้ความจากคำให้การของนายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรว่าเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานสอบสวนไม่ได้บังคับขู่เข็ญแต่อย่างใดและนายศิริวัฒน์เป็นบุตรชายของจำเลยหากไม่เป็นความจริงก็ไม่มีเหตุผลใดที่นายศิริวัฒน์จะให้การปรักปรำมารดาของตนเองให้ต้องรับโทษ แม้ในชั้นพิจารณานายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรจะเบิกความว่าไม่เคยให้การเช่นว่านั้นเพราะนายศิริวัฒน์เป็นผู้ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนด้วยตนเอง ก็เป็นการเบิกความหลังจากจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีแล้ว นายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรย่อมต้องเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยซึ่งเป็นมารดาและแม่ของสามีไม่ให้ต้องรับโทษมากกว่า นอกจากนี้ถึงแม้คำให้การของนายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรจะเป็นพยานบอกเล่าและเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ให้การเพื่อปัดความรับผิดของตน เพียงแต่ให้การในรายละเอียดที่ตนเองประสบพบเห็นมา จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ และตามบันทึกคำให้การของจำเลยจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยให้การในรายละเอียดว่านายศิริวัฒน์ไปหาจำเลยที่บ้าน นายศิริวัฒน์บอกให้จำเลยไปเอาของจากนายเฮ่อ ที่หมู่บ้านคีรีน้อย อำเภอพบพระ จังหวัดตาก และมอบเงินให้จำเลยจำนวน 10,500 บาท จำเลยไปหานายเฮ่อที่บ้านบอกว่า “จ้ำใช้ให้มาเอาของ” จ้ำ หมายถึงนายศิริวัฒน์ จำเลยส่งเงินจำนวน 10,500 บาท ให้นายเฮ่อแล้วรออยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง นายเฮ่อนำเอาห่อของมีลักษณะเป็นก้อนสีดำ จำนวน 1 ก้อน มีเทปสีดำพันปิดทับมามอบให้ หลังจากนั้นจำเลยนำไปมอบให้นายศิริวัฒน์ ซึ่งพันตำรวจโทธนารักษ์ยืนยันว่าจำเลยได้ให้การในเรื่องนี้ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด คำให้การของจำเลยสอดคล้องกับคำให้การของนายศิริวัฒน์และนางสาวบังอรในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ทำให้มีน้ำหนักรับฟังยิ่งขึ้น การที่นายศิริวัฒน์ใช้ให้จำเลยนำเงินไปซื้อเมทแอมเฟตามีนนี้เชื่อว่านายศิริวัฒน์ต้องแจ้งให้จำเลยผู้เป็นมารดาทราบแล้ว เพราะเมทแอมเฟตามีนเป็นของผิดกฎหมายที่ต้องเก็บรักษาอย่างมิดชิด เพื่อป้องกันมิให้จำเลยถูกจับกุมระหว่างเดินทางจึงต้องให้จำเลยทราบด้วย ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยนำเงินไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมามอบให้นายศิริวัฒน์ตามที่นายศิริวัฒน์มอบหมาย ถือได้ว่าจำเลยร่วมกับนายศิริวัฒน์มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานสนับสนุนการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และแม้โจทก์ไม่ฎีกาศาลฎีกาก็ปรับบทลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ แต่จะเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share