แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีกระทำผิดพระราชบัญญัติศุลกากรเมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดให้คืนสินค้าของกลางแก่ผู้ร้องแล้ว ถ้ากรมศุลกากรไม่มีเหตุโต้แย้งก็จะต้องคืนให้ตามคำพิพากษา แต่กรมศุลกากรโต้แย้งอยู่ว่า ผู้ร้องมิใช่นายเบ๊หรือจือเฮ้าตัวจริง เพราะตัวจริงตายไปนานแล้วตามมรณบัตร และโต้แย้งด้วยว่า ตั้งแต่กรมศุลกากรจับยึดสินค้ารายนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดมาขอคืนในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24 ซึ่งแก้ไขฉบับที่ 12 พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ผู้ร้องจึงชอบที่จะว่ากล่าวเอาเองเป็นคดีแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 48 วรรค 2
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2504)
ย่อยาว
ในระหว่างพิจารณาคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานนำสินค้าเข้ามาโดยไม่เสียภาษี ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่า สินค้าเป็นของตนสั่งซื้อจากสิงคโปร์จะนำไปขายในอินโดจีนก็ถูกจับระหว่างทาง ขอให้คืนสินค้า แล้วต่อมายื่นคำร้องว่ากรมศุลกากร ได้ขายทอดตลาดสินค้าไปแล้ว ขอให้สั่งกรมศุลกากรใช้เงินตามราคาสินค้า
ศาลอาญาพิจารณาคดีแล้วฟังว่า เรือบรรทุกสินค้ากำลังอยู่นอกเขตน่านน้ำไทยก็ถูกจับและเป็นสินค้าของผู้ร้อง ซึ่งไม่ได้ทำผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง ของกลางคืนผู้ร้อง ส่วนข้อที่ผู้ร้องขอให้ใช้ราคาแทนนั้น ชอบที่จะติดต่อกับกรมศุลกากรเอง ให้ยกคำร้องฉบับหลังเสีย คดีถึงที่สุดโดยโจทก์ไม่อุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า อธิบดีกรมศุลกากรไม่ยอมคืนสินค้าให้ ขอให้เรียกมาสอบถาม ถ้าขัดขืนขอให้ขัง
ศาลอาญานัดสอบถาม อธิบดีกรมศุลกากรแถลงถึงข้อเท็จจริงที่เป็นมา และว่าพฤติการณ์ดังกล่าว เป็นการลักลอบหนีภาษีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ซึ่งตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๗ บัญญัติให้ริบสินค้าโดยไม่ต้องคำนึงว่า จะมีผู้ได้รับโทษหรือไม่และตั้งแต่จับยึดแล้วไม่มีผู้ใดขอคืนในกำหนด จึงตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๒๔ และได้ขายทอดตลาดไปแล้วเพราะเป็นของเสียง่ายตามมาตรา ๒๕ วรรค ๒ ได้เงิน ๑,๑๑๒,๘๔๗.๐๕ บาท หักจ่ายเป็นสินบนและรางวัลแล้วเหลือเงิน ๔๙๘,๘๐๒.๑๘ บาท ซึ่งได้นำส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดินไปแล้ว ทั้งคนที่ศาลพิพากษาให้คืนของกลางกับคนที่มาร้องต่อกรมศุลกากรก็สงสัยว่าจะไม่ใช่บุคคลคนเดียวกัน และต่อมาแถลงว่า ผู้ร้องไม่ใช่นายเบ๊หรือจือเฮ้า แซ่ตั้ง ตัวจริง เพราะตัวจริงเป็นคนต่างด้าวซึ่งตายไปนานแล้ว ตั้งแต่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๕
ศาลอาญาสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลอาญาพิพากษาถึงที่สุดให้คืนของกลางแก่ผู้ร้องแล้ว ถ้ากรมศุลกากรไม่มีเหตุโต้แย้ง ก็จำต้องคืนให้ตามคำพิพากษา แต่เรื่องนี้กรมศุลกากรโต้แย้งอยู่ว่าผู้ร้องมิใช่นายเบ๊หรือจือเฮ้าตัวจริง โดยตัวจริงตายไปนานแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๕ ตามมรณบัตร โดยผู้ร้องมิได้แถลงแก้ประการใด และกรมศุลกากรโต้แย้งด้วยว่า ตั้งแต่จับยึดสินค้ารายนี้ ไม่ปรากฎผู้ร้องไปแสดงตนอ้างสิทธิว่าเป็นเจ้าของสินค้าภายใน ๓๐ วัน ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๔ ซึ่งแก้ไข (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ชอบที่ผู้ร้องจะไปว่ากล่าวเอาเองเป็นคดีแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๘ วรรค ๒
พิพากษายืน