คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อตอบแทนการที่จำเลยจะจูงใจพนักงานสอบสวนให้ไม่ดำเนินคดีแก่ ณ. และปล่อยตัว ณ. ให้หลุดพ้นจากคดีข้อหาลักทรัพย์ เป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้วส่วนการที่จำเลยจะได้ไปติดต่อหรือจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่ มิใช่องค์ประกอบแห่งความผิดอันต้องบรรยายในฟ้อง และการที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยอ้างว่ารู้จักกับพนักงานสอบสวนสามารถวิ่งเต้นให้ ณ. หลุดพ้นจากคดีอาญา ก็เป็นการกล่าวถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยว่าได้เอาความเท็จมากล่าวเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้จ่ายเงินเท่านั้น จะถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวันจำเลยนี้กับพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงนางสาวสีอนุ ราชา ผู้เสียหาย โดยเอาความเท็จมากล่าวว่า จำเลยรู้จักกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสามเสน สามารถวิ่งเต้นให้ร้อยตำรวจโทสนธยา ใหญ่ไร้บาง เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสามเสนซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายให้ปล่อยตัวนายณัฐธิวุฒิ ช่วงชุณหสอง สามีของผู้เสียหายซึ่งต้องหาคดีข้อหาลักทรัพย์ในเขตท้องที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสน ให้หลุดพ้นจากคดีได้ แล้วจำเลยกับพวกโดยเจตนาทุจริตได้ร่วมกันเรียกเงินจำนวน30,000 บาท จากผู้เสียหาย เป็นการตอบแทนในการที่จำเลยกับพวกจะจูงใจร้อยตำรวจโทสนธยา ด้วยวิธีอันทุจริตให้ร้อยตำรวจโทสนธยากระทำการและไม่กระทำการในหน้าที่พนักงานสอบสวน ไม่ดำเนินคดีกับนายณัฐธิวุฒิและปล่อยตัวนายณัฐธิวุฒิให้หลุดพ้นจากข้อหาลักทรัพย์ไปซึ่งมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นคุณแก่นายณัฐธิวุฒิจนผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยกับพวกสามารถทำได้ จึงมอบเงินจำนวน13,000 บาท ให้จำเลยกับพวกรับไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 143 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143, 83 ให้จำคุก 3 ปีจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์เพียงแต่จำเลยกับพวกหลอกลวงผู้เสียหายว่ารู้จักพนักงานสอบสวนสามารถวิ่งเต้นให้สามีผู้เสียหายหลุดพ้นคดี แล้วเรียกเงินเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยกับพวกจะไปจูงใจเจ้าพนักงาน จำเลยมีเจตนาเพียงหลอกเอาเงินจากผู้เสียหายเท่านั้น จึงขาดเจตนาที่จะจูงใจเจ้าพนักงานให้กระทำหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าตามฟ้องโจทก์ถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันเรียกเงินจำนวน 30,000 บาทจากนางสาวสีอนุ ราชา ผู้เสียหาย เป็นการตอบแทนในการที่จำเลยกับพวกจะจูงใจร้อยตำรวจโทสนธยา ใหญ่ไร้บาง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสามเสน ด้วยวิธีอันทุจริตให้ร้อยตำรวจโทสนธยาใหญ่ไร้บาง กระทำการในหน้าที่พนักงานสอบสวนให้ไม่ดำเนินคดีกับนายณัฐธิวุฒิ ช่วงชุณหสอง สามีผู้เสียหาย เห็นว่า เป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นถึงการกระทำและเจตนาของจำเลยว่าจำเลยเจตนาเรียกเอาเงินจากผู้เสียหายเป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยอ้างว่าจะจูงใจเจ้าพนักงานไม่ให้ดำเนินคดีกับสามีผู้เสียหาย และปล่อยตัวให้หลุดพ้นจากคดีข้อหาลักทรัพย์ อันถือได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้วส่วนการที่จำเลยจะได้ไปติดต่อหรือจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่มิใช่องค์ประกอบแห่งความผิดอันต้องบรรยายในฟ้อง สำหรับการบรรยายฟ้องในตอนต้นที่ว่า จำเลยกับพวกบังอาจใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย โดยเอาความเท็จมากล่าวว่า จำเลยรู้จักกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสามเสนสามารถวิ่งเต้นพนักงานสอบสวนให้สามีผู้เสียหายหลุดพ้นจากคดีได้นั้นเป็นการกล่าวถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของจำเลยว่าได้เอาความเท็จมากล่าวเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้จ่ายเงินเป็นการตอบแทนจำเลยกับพวกในการจะจูงใจเจ้าพนักงาน จะถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นตามที่จำเลยอุทธรณ์เช่นนี้ เพื่อให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นไปตามลำดับศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share