แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นาพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มีชื่อในโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เองมิใช่มีชื่อในฐานะเป็นผู้ซื้อแทนโจทก์ โจทก์หามีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการโอน และการขายฝากนาพิพาทที่จำเลยกระทำต่อกันได้ไม่
ในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504 โจทก์จำเลยตกลงกันว่าให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีนี้เป็นข้อแพ้ชนะกัน คือ ถ้าโจทก์ในคดีนี้ (จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504) แพ้ จะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท และยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ (โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504) เป็นรายปี ๆ ละ 900 บาทนับแต่ พ.ศ. 2504 เป็นต้นไป จนกว่าโจทก์จะออกจากที่ดิน แต่ถ้าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายแพ้คดี ก็ไม่ติดใจเอาค่าเสียหายดังกล่าวและไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป ผลที่สุดจำเลยที่ 1 ถอนฟ้องคดีนั้นแล้วมาฟ้องแย้งในคดีนี้ว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ผู้รับซื้อฝากจากจำเลยที่ 1 เรียกค่าเสียหายจากโจทก์ปีละ 900 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีมูลที่จะฟ้องแย้งได้ จำเลยที่ 2 ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์มาในฟ้องแย้งได้โดยไม่ต้องอาศัยข้อตกลงในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504 และเป็นที่เห็นได้ว่า การที่จำเลยที่ 2 อ้างถึงข้อตกลงนั้น ก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ได้เคยรับรองว่าจำเลยที่ 2 จะคิดค่าเสียหายได้ตามจำนวนที่ปรากฏในข้อตกลงนั้น ศาลจะได้ถือเป็นหลักวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายในคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ต้องนำสืบกันอีกชั้นหนึ่ง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อตกลงนั้นโดยตรง โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องแย้งเรียกร้องค่าเสียหายในคดีนี้เพราะเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในคดีก่อนยังไม่สำเร็จ
โจทก์เพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาว่านาพิพาทเป็นมรดกของนายอินบิดาโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง เป็นคนละประเด็นกันกับที่กล่าวในฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
โจทก์เพิ่งจะยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ขัดกับคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505 ทั้งอ้างข้อเท็จจริงมาไม่ตรงกับความเป็นจริงเพราะในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505 นั้นปรากฏว่า จำเลยที่ 3 กับพวกซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้ถอนฟ้องข้อหาเกี่ยวกับนาพิพาทเสีย โจทก์(จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505) ชนะในประเด็นอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับนาพิพาท ฎีกาโจทก์ข้อนี้หาเป็นสาระแก่คดีไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5-6/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่นาโฉนดที่ ๗๙๘๑ โจทก์ที่ ๒ กับนายจันพี่ชายซื้อจากนายลอย โจทก์ไม่มีเงินซื้อและทำสัญญาซื้อเองไม่ได้เพราะผู้ซื้อยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงตกลงกับนายลอยผู้ขายให้นางแหมารดาผู้ซื้อลงชื่อรับโอนโฉนดมา โจทก์ที่ ๒ กับนายจันได้เข้าทำนาอย่างเป็นเจ้าของต่อมานายจันขายส่วนของตนให้โจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๒ ทำนาใช้หนี้นายลอย ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ได้โจทก์ที่ ๑ เป็นสามี ได้ปลูกเรือนอยู่ในที่แปลงนี้ ได้ปกครองทำนาติดต่อกันมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ นางแหสมคบกับนางพอนจำเลยที่ ๑ ลอบเอาที่นาโฉนดที่ ๗๙๔๖ ซึ่งเป็นกองทุนของโจทก์ไปโอนขายให้นายสมพงษ์ โจทก์ที่ ๑ จึงฟ้องนางแหกับนายสมพงษ์ขอให้เพิกถอนการโอน และเรียกที่นาคืน (สำนวนคดีแดงที่ ๒๑๒/๒๔๙๘ ของศาลจังหวัดสระบุรี) ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๙ นางแห นางพอนและนายสมพงษ์ เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ ขอให้ขับไล่ออกจากที่นาทั้งสองแปลง (สำนวนคดีดำที่ ๑๕๔/๒๔๙๙) ศาลสั่งให้รอคดีไว้ฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งแดงที่ ๒๑๒/๒๔๙๘ ก่อน ในระหว่างรอคดีนั้น นางแหกับพวกเห็นว่าไม่มีทางชนะคดีได้ จึงให้นางพอนจำเลยที่ ๑ นำที่นาโฉนดที่ ๗๙๘๑ ที่ฟ้องไปทำสัญญาขายฝากนายริ้วจำเลยที่ ๒ ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อนาโฉนดที่ ๗๙๘๑ และโจทก์ครอบครองมาเกิน ๑๐ ปี เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขอให้สั่งสำนักงานที่ดินเพิกถอนการที่นางแหโอนให้นางพอน และนางพอนโอนขายฝากนายริ้วนั้นเสีย แก้ทะเบียนโอนกลับคืนให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกให้พ้นที่นาโฉนดที่ ๗๙๘๑ ไม่ให้มาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ทำนาปีละ ๓,๐๐๐ บาท นับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ให้การว่านาโฉนดที่ ๗๙๘๑ ที่พิพาทกันเป็นของนางแหมารดาโจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ นางแหซื้อจากนายลอย ไม่ได้ซื้อไว้แทนโจทก์ที่ ๒ นางแหโอนนาพิพาทให้จำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๑ ออกเงินใช้หนี้แทนนางแหและไถ่นาพิพาทนี้มา
จำเลยที่ ๒ ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากนาพิพาทพร้อมทั้งเรือนและยุ้งข้าวจากจำเลยที่ ๑ สิทธิการไถ่ถอนคืนได้สิ้นสุดลงแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๐๔ โจทก์ทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปทำนาพิพาทบางส่วน ค่าเสียหายในการที่บุกรุกศาลได้จดบันทึกไว้ในรายงานพิจารณาสำนวนคดีแพ่งดำที่ ๑๙๘/๒๕๐๔(ของศาลจังหวัดสระบุรี) ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๒ ปีละ ๙๐๐ บาทนับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ จนกว่าโจทก์จะออกจากที่นาพิพาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ให้บังคับโจทก์กับบริวารออกจากที่นาโฉนดที่ ๗๙๘๑ และใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาทมาช้านาน ข้อตกลงที่เกี่ยวกับค่าเสียหายเป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้อง
โจทก์ที่ ๑ ขอให้ศาลเรียกนางแหเข้ามาเป็นจำเลยของโจทก์ที่ ๑ ศาลอนุญาต
นางแห จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ที่นาพิพาทโฉนดที่ ๗๙๘๑ เป็นของนางแหซื้อจากนายลอย ไม่ใช่ซื้อแทนโจทก์ที่ ๒ เป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายปีละ ๙๐๐ บาทแก่จำเลยนับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ จนกว่าโจทก์จะออกจากนาพิพาท
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า
๑. พยานหลักฐานโจทก์พอฟังได้ว่านาพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
๒. ชั้นยื่นคำให้การ จำเลยยังไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ตามข้อตกลงในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๒/๒๕๐๔ ศาลชั้นต้นไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายไปทีเดียว
๓. หากจะฟังว่าจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ซื้อเอง นาพิพาทก็ตกเป็นสินสมรสระกว่างนายอินกับจำเลยที่ ๓ โจทก์ที่ ๒ มีสิทธิรับมรดกของนายอิน ย่อมมีสิทธิในนาพิพาทร่วมกับจำเลยที่ ๓ ศาลพิพากษาแบ่งนาพิพาทให้โจทก์ตามสิทธิในการรับมรดกนายอินนั้นได้
๔. ศาลอุทธรณ์พิพากษาขับไล่โจทก์ในคดีนี้ขัดกับคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๓/๒๕๐๕ ซึ่งให้โจทก์ชนะคดีมาแล้ว
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีโดยที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยดังต่อไปนี้
๑. ศาลฎีกาฟังได้ว่านาพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ มีชื่อในโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เอง มิใช่มีชื่อในฐานะเป็นผู้ซื้อแทนโจทก์ โจทก์หามีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการโอนและการขายฝากนาพิพาทที่จำเลยกระทำต่อกันนั้นได้ไม่
๒. ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๒ ไปทีเดียวนั้น ได้ความตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๒/๒๕๐๔ ว่า เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว นายริ้วจำเลยที่ ๒ ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ ขอให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองออกไปจากนาพิพาทแปลงเดียวกับนาพิพาทในคดีนี้ และให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายด้วย ในคดีดังกล่าว โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่าให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีนี้เป็นข้อแพ้ชนะแก่กัน คือ ถ้าโจทก์ในคดีนี้ (จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๒/๒๕๐๔) แพ้จะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท และยินยอมให้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๒ ในคดีนี้ (โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๒/๒๕๐๔) เป็นรายปี ๆ ละ ๙๐๐ บาท นับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นไป จนกว่าโจทก์จะออกจากที่ดิน แต่ถ้าจำเลยที่ ๒ เป็นฝ่ายแพ้คดี ก็ไม่ติดใจเอาค่าเสียหายดังกล่าวและไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป ผลที่สุดจำเลยที่ ๒ ได้ถอนฟ้องคดีนั้นแล้วมาฟ้องแย้งในคดีนี้ ว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ ผู้รับซื้อฝากจากจำเลยที่ ๑ เรียกค่าเสียหายจากโจทก์ปีละ ๙๐๐ บาทตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นมา โจทก์โต้แย้งว่าคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เกิดจากข้อตกลงในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๒/๒๕๐๔ ที่ว่า ถ้าโจทก์แพ้คดีนี้ โจทก์จะต้องให้ค่าเสียหายแก่จำเลยปีละ ๙๐๐ บาทนับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นไป ซึ่งเป็นนิติกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน จำเลยที่ ๒ ใช้สิทธิเรียกร้องชั้นยื่นคำให้การในคดีนี้ โดยศาลยังไม่ได้ตัดสิน เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ ๒ จึงยังไม่เกิดขึ้น
ศาลฎีกาเห็นว่า เฉพาะคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ ๒ มีมูลที่จะฟ้องแย้งได้ จำเลยที่ ๒ ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์มาในฟ้องแย้งได้โดยไม่ต้องอาศัยข้อตกลงในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๒/๒๕๐๔ และเป็นที่เห็นได้ว่า การที่จำเลยที่ ๒ อ้างถึงข้อตกลงนั้น ก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ได้เคยรับรองว่าจำเลยที่ ๒ จะคิดค่าเสียหายได้ตามจำนวนที่ปรากฏในข้อตกลงนั้น ศาลจะได้ถือเป็นหลักวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายในคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยไม่ต้องนำสืบกันอีกชั้นหนึ่ง จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อตกลงกันโดยตรง โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องแย้งเรียกร้องค่าเสียหายในคดีนี้เพราะเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในคดีก่อนยังไม่สำเร็จ
๓. ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ถ้าหากศาลฟังว่าจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ซื้อนาพิพาท ศาลก็พิพากษาแบ่งนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามสิทธิของโจทก์ในการรับมรดกนายอินได้อีกทางหนึ่งนั้น คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ที่ ๒ โดยโจทก์ที่ ๒ ซื้อมาจากนายลอย โจทก์เพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาว่าเป็นมรดกของนายอินบิดา โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเป็นคนละประเด็นกัน จะวินิจฉัยให้ไม่ได้
๔. ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ขัดกับคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๓/๒๕๐๔ นั้นโจทก์ก็เพิ่งจะยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกา ทั้งอ้างข้อเท็จจริงมาไม่ตรงกับความเป็นจริง ในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๓/๒๕๐๕ นั้น ปรากฏว่านางแหกับพวกซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้ถอนฟ้องข้อหาเกี่ยวกับนาพิพาทเสียหายแล้ว โจทก์(จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๓/๒๕๐๕) ชนะในประเด็นอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับนาพิพาท ฎีกาโจทก์ข้อนี้หาเป็นสาระแก่คดีไม่
พิพากษายืน