คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่านำของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรและหลบหนีภาษีศุลกากรนั้น แม้ในฟ้องจะมิได้บรรยายว่า จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรก็ตาม ถ้าตามฟ้องเป็นที่เข้าใจได้ในตัวเช่นนั้นแล้ว ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ศาลฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจนำเอากระเทียมแห้ง ๓๒๐ กิโลกรัมจากประเทศพม่าเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้ผ่านด่านศุลกากรเพื่อเสียภาษีและมิได้รับอนุญาตให้นำเข้า ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ให้จำคุก ๑ เดือน ปรับเป็นเงิน ๙,๖๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ฟ้องโจทก์แล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำข้อเท็จจริงและรายละเอียดเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ แล้ว คือ ตามฟ้องนั้นได้ความว่า จำเลยนำกระเทียมแห้งที่ปลูกในประเทศพม่าและเป็นของกลางที่ต้องเสียภาษีเมื่อนำเข้าในราชอาณาจักรไทย และเป็นสินค้าที่ห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย จากประเทศพม่าเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้ผ่านด่านศุลกากรเพื่อเสียภาษีเสียก่อน ทั้งมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายและไม่ใช่ของที่นำติดตัวหรือยานพาหนะเข้ามาใช้หรือนำมาเป็นตัวอย่างตามฟ้องนี้เห็นได้ว่า จำเลยหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และมิได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาทั้งเป็นสิ่งของที่มิได้รับการยกเว้นให้นำเข้ามาได้ แม้ในฟ้องจะมิได้บรรยายว่า จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ก็เป็นที่เข้าใจได้ในตัวเช่นนั้นแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ศาลลงโทษจำเลยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share