คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนมรดกที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองปราจีนบุรีเท่านั้น มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดิน จึงไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขต ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) เดิม หาได้ไม่ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนา แต่เนื่องจากขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4(1)บัญญัติว่าคำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ เช่นนี้จึงทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้ อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคแรกกำหนดให้ศาลสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงเป็นการไม่ถูกต้องแต่เมื่อศาลฎีกาสั่งให้รับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนางชูเกียรติ รังสิยานนท์ ผู้ตาย จำเลยเป็นสามีของนางชูเกียรติจำเลยและทายาทอื่นได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์รับมรดกของผู้ตายคือ ที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 40 หมู่ที่ 3 ตำบลรอบเมืองอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี และที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 3 หมู่ที่ 2 ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำขอรับโอนที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนที่ดินดังกล่าวตามที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองปราจีนบุรี ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษาหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำหนังสือขอถอนคำยินยอมทายาทที่จะใช้แก่ที่ดินทั้งสองแปลงตามคำฟ้องของโจทก์จริง เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดกอื่นกับจำเลยก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนมรดกที่โจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินไว้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์สินคือที่ดินจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา4(1) เดิม โจทก์ต้องฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) เดิมการที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีที่ไม่มีเขตอำนาจเหนือคดี ศาลจังหวัดปราจีนบุรีจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนมรดกที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองปราจีนบุรีเท่านั้นมิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดิน จึงไม่ใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์จะฟ้องต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีอสังหาริมทรัพย์คือที่ดินตั้งอยู่ในเขต ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) เดิม หาได้ไม่ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนา เฉพาะคดีนี้คือศาลจังหวัดเชียงใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) เดิม ศาลจังหวัดปราจีนบุรีที่ไม่มีเขตอำนาจเหนือคดีนี้จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ แต่เนื่องจากขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา4(1) บัญญัติว่า “คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่” เช่นนี้จึงทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วย ดังนั้น เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า จึงเห็นสมควรให้ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคแรกกำหนดให้ศาลสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงเป็นการไม่ถูกต้อง แต่เมื่อศาลสั่งให้รับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์อีก
พิพากษากลับ ให้ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share