คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เถียงว่าจำเลยทำนาโจทก์โดยการเช่า แม้สัญญาเช่าจะสิ้นแล้วแต่จำเลยยังคงทำต่อมา เช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยได้เช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดและจำเลยครอบครองไว้แทนโจทก์ไม่ใช่เพื่อตนเอง จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิ แต่คดีได้ความว่าชั้นต้นจำเลยเช่าแต่ตอนหลังโจทก์จะไปเก็บค่าเช่า จำเลยไม่ยอมให้ทั้งบอกว่าเป็นที่ของจำเลยมิได้เช่าจากโจทก์แล้ว ดังนี้ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยถือตนว่าเป็นเจ้าของนานั้น และไม่ยอมตนว่าเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ฐานผู้เช่าต่อไปแล้ว (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381) โจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องภายในกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่านายแก้วสามีจำเลยได้ทำหนังสือสัญญายกที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญของนายแก้ว 2 แปลง ตำบลศรีบัวทอง กิ่งอำเภอแสวงหาจังหวัดอ่างทอง ให้แก่นางบุญเติมเพื่อใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วจำเลยและสามีก็เช่าทำต่อมา นายแก้วตายแล้วจำเลยก็ยังคงทำสัญญาเช่าตลอดมา ต่อมานางบุญเติมตายที่ดินตกเป็นของบริษัทสุวรรณประทีปฯ โจทก์จำเลยคงทำสัญญาเช่าต่อมาจน 2495 โจทก์ได้เตือนให้จำเลยมาทำสัญญาเช่าเช่นเคย จำเลยไม่มาและไม่ส่งค่าเช่า จำเลยคงทำนาต่อมารวม 3 ปี เป็นเงินค่าเช่า 2,400 บาท จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 2,400 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า สามีจำเลยไม่เคยเป็นหนี้นางบุญเติมและไม่เคยยกนาใช้หนี้นางบุญเติม จำเลยและสามีไม่เคยเช่านาจากนางบุญเติมหรือบริษัทโจทก์ และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยและสามียกให้นางบุญเติมเป็นการใช้หนี้ต่อมาที่พิพาทตกให้แก่บริษัทโจทก์ แต่คำให้การของโจทก์เองที่ว่า “ใน พ.ศ. 2494 ไปเก็บค่าเช่านาจากจำเลย จำเลยไม่ให้” อ้างว่าเป็นนาของจำเลยมิได้เช่าจากโจทก์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองและเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 หรือนัยหนึ่งโจทก์ถูกแย่งการครอบครองมาแต่ พ.ศ. 2494ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า อายุความกำหนดไว้เพียง 1 ปี โจทก์มาฟ้องใน พ.ศ. 2496 ขาดอายุความแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อตัดฟ้องอื่น ๆพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ฎีกาโจทก์ที่เถียงว่าจำเลยเข้าทำนาโดยการเช่าแม้สัญญาจะสิ้นอายุแล้วแต่จำเลยยังคงทำนาอยู่ก็ยังต้องถือว่าจำเลยได้เช่าโดยไม่มีกำหนด จำเลยจึงครอบครองที่ดินของโจทก์แทนโจทก์ไม่ใช่ครอบครองเพื่อตนเอง จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธินั้นศาลฎีกาเห็นว่าแม้ชั้นต้นจำเลยจะเข้าครอบครองนาโจทก์โดยอาศัยสัญญาเช่าก็ดี แต่เมื่อตอนหลังโจทก์จะไปเก็บค่าเช่าจำเลยไม่ยอมให้ ทั้งบอกว่าเป็นที่ของจำเลยเองมิได้เช่าจากโจทก์แล้ว ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยถือตนว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่นานั้น และไม่ยอมตนว่าเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ฐานเป็นผู้เช่าต่อไปแล้ว เป็นการแสดงออกชัดว่าจำเลยแย่งการครอบครองของโจทก์ตั้งแต่นั้นมา ถ้าโจทก์ประสงค์จะได้คืนการครอบครองก็ต้องฟ้องร้องภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แต่โจทก์มิได้ฟ้องภายในกำหนด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ และฟังว่าที่นายพินพยานโจทก์ให้การว่าไปทวงค่าเช่าจากจำเลยใน พ.ศ. 2494 นั้น ไม่ได้ให้การโดยผิดหลง

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share