แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินซึ่งเดิมเปนที่รกร้างว่างเปล่านั้น บุคคลอาจได้มาตามกฎหมายที่ดินตามประมวลแพ่ง ฯมาตรา 1334 เมื่อผู้ครอบครองอยู่แสดงในข้อนั้นไม่ได้และไม่ปรากฎว่าเปนที่ของผู้อื่นซึ่งตนได้มาโดยอายุความตามมาตรา 1382 แล้ว ก็ต้องฟังว่ามีเพียงสิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิได้ความว่าโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครองได้ฟ้องขอให้สังแสดงกรรมสิทธิโดยมิได้กล่าวว่าจำเลยยึดถือทรัพย์อยู่และเรียกเอาคืนจากจำเลยดังนี้ ศาลจะพิพากษาขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะกรณีไม่เข้ามาตรา 142(1) แห่งวิธีพิจารณาความแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ครอบครองที่นาได้กรรมสิทธิตามประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๑๓๘๒ จำเลยนำรังวัดเข้าไปในที่ของโจทก์ทั้งแปลง ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเปนกรรมสิทธิแก่โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเปนที่ของจำเลย
ศาลชั้นต้นยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่พิพาทเปนของฝ่ายโจทก์ครอบครองมา คดีนี้เปนฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์เปนประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่ตามวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ จึงให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าโจทก์ครอบครองที่รายนี้มา ๑๐ ปีเศษแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฎว่าเดิมเปนที่รกร้างว่างเปล่าของแผ่นดิน บุคคลอาจได้มาแต่ตามกฎหมายที่ดินตามประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๑๓๓๔ โจทก์แสดงไม่ได้ในข้อนี้ และแสดงไม่ได้ว่าเดิมเปนที่ของผู้อื่นและโจทก์ได้มาโดยอายุความตามมาตรา ๑๓๘๒คดีได้ความแต่เพียงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครอง จำเลยไม่มีสิทธิสอดเข้าเกี่ยวข้องรบกวนโจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ แม้โจทก์แสดงได้เพียงสิทธิครอบครองอันเปนสิทธิของเจ้ากรรมสิทธิอย่างหนึ่ง ศาลย่อมพิพากษาแสดงไม่ได้ แต่ฟ้องของโจทก์มิได้อ้างว่า จำเลยยึดถือทรัพย์นี้อยู่และเรียกเอาคืนจากจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่ จึงไม่เห็นด้วยเพราะกรณีไม่เข้ามาตรา ๑๔๒(๑) แพ่งวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงพิพากษาเพียงแต่แสดงว่าโจทก์ก็มีสิทธิครอบครอง