แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์กับจำเลยที่ 1 และไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ ว. เพราะก่อนที่ ว. จะถึงแก่ความตายได้ยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้อง โดยสละการครอบครองและส่งมอบการครอบครองให้ผู้ร้องตามคำร้องของผู้ร้องมีความมุ่งหมายเพื่อได้รับผลที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยที่ดินพิพาทที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้อง จึงเป็นกรณีที่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 288 ซึ่งบัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องร้องขัดทรัพย์ มิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีตาม มาตรา 296 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27
โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์และจำเลยทั้งสองตามส่วน เป็นวิธีการแบ่งทรัพย์สินให้เป็นไปตามคำพิพากษาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคสอง โจทก์และจำเลยทั้งสองมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกัน จึงมิใช่การร้องขอให้บังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอันเป็นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นทายาทของนายวุ่น และนางสาวรักชุม ซึ่งถึงแก่ความตายแล้ว นายวุ่นมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน 15 แปลง ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 223 ถึง 237 หมู่ที่ 10 ตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งแทนโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 223 ถึง 237 หมู่ที่ 10 ตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้แบ่งให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินทั้ง 15 แปลงดังกล่าวขายทอดตลาดและขายทอดตลาดได้แล้ว 2 แปลง ตาม ส.ค.1 เลขที่ 231 และ 237 อันเป็นที่ดินพิพาท
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดและขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะที่ดินพิพาทตาม ส.ค.1 เลขที่ 231 และ 237 เป็นของผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ เนื่องจากก่อนที่นายวุ่นจะถึงแก่ความตายได้ยกที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 231 ให้แก่ผู้ร้องที่ 1 และยกที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 237 ให้แก่ผู้ร้องที่ 2 โดยการสละการครอบครองและส่งมอบการครอบครองให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องที่ 1 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินโดยการปลูกและกรีดยางพารา ส่วนผู้ร้องที่ 2 พักอาศัยในบ้านซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 21 ปีเศษ ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายวุ่น ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตาม ส.ค.1 เลขที่ 231 และ 237 เป็นของผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับและให้เพิกถอนหมายบังคับคดี และการขายทอดตลาดดังกล่าว
โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 นายวุ่นเจ้ามรดกไม่ได้สละสิทธิการครอบครองและส่งมอบสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแทนทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายวุ่น โจทก์ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกจึงมีสิทธิบังคับคดีได้ตามกฎหมาย ส่วนผู้ซื้อทรัพย์อ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องทั้งสองไม่มีสิทธิเพิกถอนการบังคับคดีและขายทอดตลาด ผู้ร้องทั้งสองมาศาลในชั้นพิจารณาและเข้าร่วมการขายทอดตลาดมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านภายในระยะเวลาตามกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าว ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 โจทก์ถึงแก่ความตาย นายถาวร บุตรของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนายวุ่น เจ้ามรดก ผู้ร้องทั้งสองเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ก่อนนายวุ่นถึงแก่ความตาย นายวุ่นมีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 223 ถึง 237 หมู่ที่ 10 ตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายวุ่นให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ศาลจึงออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด โดยผู้ซื้อทรัพย์ซื้อที่ดินพิพาท ส.ค.1 เลขที่ 231 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2546 และนายถาวร บุตรโจทก์ซื้อที่ดินพิพาท ส.ค.1 เลขที่ 237 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2544 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตาม ส.ค.1 เลขที่ 231 และ 237 หมู่ที่ 10 ตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นของผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์กับจำเลยที่ 1 และไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายวุ่น เพราะก่อนที่นายวุ่นจะถึงแก่ความตายได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง โดยสละการครอบครองและส่งมอบการครอบครองให้ผู้ร้องทั้งสอง ดังนี้ ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองมีความมุ่งหมายเพื่อได้รับผลที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยที่ดินพิพาทที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้อง จึงเป็นกรณีที่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ซึ่งบัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องร้องขัดทรัพย์ มิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์และจำเลยทั้งสองตามส่วนนั้น เป็นวิธีการแบ่งทรัพย์สินให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท โดยศาลกำหนดไว้ว่าหากไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้แบ่งให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน อันเป็นวิธีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้มีสิทธิร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคสอง โจทก์และจำเลยทั้งสองมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกัน จึงมิใช่การร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอันเป็นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ