คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9501/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจตนารมณ์ของการส่งสำเนาเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 มุ่งประสงค์เพียงให้ฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารมายันได้มีโอกาสตรวจสอบเอกสารก่อนเพื่อจะได้ซักค้านพยานได้ถูกต้องไม่เสียเปรียบแก่กัน เมื่อโจทก์ได้แนบสำเนาเอกสารดังกล่าวมาท้ายคำฟ้อง ย่อมนับได้ว่าตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว แม้โจทก์จะมิได้แสดงความจำนงขอถือเอาเอกสารท้ายคำฟ้องแทนการส่งสำเนาให้คู่ความ หรือโจทก์มิได้ขออนุญาตศาลขอถือเอาเอกสารท้ายคำฟ้องแทนการส่งสำเนาให้แก่คู่ความก็ตาม ไม่มีผลทำให้คดีโจทก์ต้องเสียไป
แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยภายในระยะเวลาตามกฎหมายและไม่ได้แนบสำเนามาท้ายฟ้อง ศาลก็ชอบที่จะรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ตามนัยแห่งเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90
เอกสารที่แม้จะเป็นเพียงสำเนา มิใช่ต้นฉบับ แต่จำเลยเป็นผู้ทำขึ้นเอง เมื่อไม่ปรากฎเหตุสงสัยว่าจะมีข้อความผิดไปจากความจริง การที่โจทก์มิได้อ้างไว้ในบัญชีระบุพยานซึ่งฝ่าฝืนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) แม้จำเลยมิได้รับรองความถูกต้องของเอกสารนั้น คดีโจทก์ก็ไม่เสียไปเพราะเหตุดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน749,358.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 732,368 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 701,393 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2539 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่าการที่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยลักษณะพยานหลักฐานเกี่ยวกับเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.8 มีผลทำให้คดีโจทก์เสียไปหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า เอกสารหมาย จ.3 จ.4 จ.6 และ จ.7 โจทก์มิได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลย เห็นว่า เจตนารมณ์ของการส่งสำเนาเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 มุ่งประสงค์เพียงให้ฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารมายันได้มีโอกาสตรวจสอบเอกสารก่อนเพื่อจะได้ซักค้านพยานได้ถูกต้องไม่เสียเปรียบแก่กัน เมื่อโจทก์ได้แนบสำเนาเอกสารดังกล่าวมาท้ายคำฟ้อง ย่อมนับได้ว่าตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว แม้โจทก์จะมิได้แสดงความจำนงขอถือเอาเอกสารท้ายคำฟ้องแทนการส่งสำเนาให้คู่ความ หรือโจทก์มิได้ขออนุญาตศาลขอถือเอาเอกสารท้ายคำฟ้องแทนการส่งสำเนาให้แก่คู่ความก็ตาม ไม่มีผลทำให้คดีโจทก์ต้องเสียไป สำหรับเหตุที่โจทก์ไม่นำเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 แผ่นแรก ซึ่งเป็นรายการหนี้มาแสดงต่อศาล โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะโจทก์อ้างใบเสร็จรับเงินซึ่งสรุปยอดหนี้ในแต่ละเดือนอยู่แล้ว ประกอบกับเอกสารหมาย จ.8 ก็สามารถทำให้จำเลยเข้าใจถึงยอดหนี้ได้ดี ส่วนเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งเป็นใบวางบิลแสดงยอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ เมื่อได้ความตามทางพิจารณาว่า เอกสารดังกล่าวพนักงานโจทก์นำไปมอบให้แก่จำเลยแล้วซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับ จึงถือได้ว่าเป็นเอกสารอยู่ในความครอบครองรู้เห็นของจำเลยเช่นเดียวกับเอกสารหมาย จ.8 ที่จำเลยทำขึ้นเพื่อตรวจสอบจำนวนหนังสือพิมพ์ที่ซื้อขายกัน เมื่อเอกสารหมาย จ.5 และ จ.8 ทั้งสองฉบับต่างเป็นที่มาแห่งข้อพิพาทซึ่งนับว่าเป็นเอกสารสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่จำเลยภายในระยะเวลาตามกฎหมาย และไม่ได้แนบสำเนามาท้ายคำฟ้อง ก็ชอบที่จะรับฟังเอกสารหมาย จ.5 ได้ ตามนัยแห่งเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เช่นกัน สำหรับเอกสารหมาย จ.8 นั้น แม้จะเป็นเพียงสำเนา มิใช่ต้นฉบับ แต่จำเลยก็เป็นผู้ทำขึ้นเองเมื่อไม่ปรากฏเหตุสงสัยว่าจะมีข้อความผิดไปจากความจริง การที่โจทก์มิได้อ้างไว้ในบัญชีระบุพยาน ซึ่งฝ่าฝืนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังได้ตามมาตรา 87(2) แห่งประมวลกฎหมายเดียวกัน แม้จำเลยมิได้รับรองความถูกต้องของเอกสารนั้น คดีโจทก์ก็ไม่เสียไปเพราะเหตุดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share